วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

7 เคล็ดลับชีวิตสุขแบบบัฟเฟ็ตต์


เพื่อนๆ หลายๆ คนน่าที่จะรู้จักมหาเศรษฐีของโลกที่ร่ำรวยได้จากการลงทุน (เพียงอย่างเดียว คือไม่ได้ทำอย่างอื่นอีกเลย) ก็คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์  ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็ยังดูกระฉับกระเฉง พูดจาฉับไวไม่เหมือนคนอายุ 80 เวลาให้สัมภาษณ์มักมีอารมณ์ขันสอดแทรกอยู่เสมอ ไม่ได้เคร่งขรึมตึงเครียดแบบมหาเศรษฐีนักธุรกิจส่วนใหญ่ คนมักจะถามบัฟเฟ็ตต์เป็นประจำว่าทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จและร่ำรวย ซึ่งบัฟเฟ็ตต์ก็ตอบเหมือนเดิมว่าให้ทำในสิ่งที่ตนรักแล้วความสำเร็จก็จะตามมาซึ่งก็รวมถึงเงินทองด้วย

เคล็ดลับในการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขของบัฟเฟ็ตต์นั้นเรียบง่าย แต่ให้ข้อคิดที่ลึกซึ้ง ซึ่งมีหลักๆ อยู่ 7 ข้อ

 1. ทำในสิ่งที่ตนเองรัก บัฟเฟ็ตต์บอกว่าในชีวิต เขาไม่เคยต้องเลือกระหว่างเรื่องงานกับเรื่องชีวิตส่วนตัว เขามีความสุขกับการทำงานมาก ทุกวันตื่นเต้นที่ได้ไปทำงาน เรียกได้ว่าแทบจะเต้นแท็บแดนซ์เข้าออฟฟิศเลยทีเดียว และเดินเข้าออฟฟิศอย่างมีความสุขเป็นที่สุด ซึ่งการทำในสิ่งที่ตนรัก และรักในสิ่งที่ตนทำ ผลงานก็จะออกมาดีโดยธรรมชาติ

 2. หาความสุขจากความเรียบง่าย บัฟเฟ็ตต์บอกว่าความสุขอย่างเรียบง่ายของเขาคือการเล่นไพ่บริดจ์ออนไลน์สัปดาห์ละ 12 ชั่วโมง ความสุขอยู่ที่ใจเป็นสิ่งที่หาได้จากสิ่งใกล้ตัว การได้พักผ่อนอยู่กับบ้านนั่งอ่านหนังสือหรือปลูกต้นไม้ก็ถือเป็นความสุขแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียเงินฟุ่มเฟือยทานอาหารนอกบ้าน หรือท่องเที่ยวต่างประเทศ

 3. คิดและทำในสิ่งที่ไม่ซับซ้อน บัฟเฟ็ตต์บอกว่าไม่ว่าจะทำงานอะไร เขาต้องอธิบายสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาดได้ ดังนั้น จึงเลือกทำแต่เฉพาะสิ่งที่ตัวเองเข้าใจทะลุปรุโปร่งเพราะความเสี่ยงหรือความเสียหายเกิดจากการทำในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้

 4. ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย บัฟเฟ็ตต์กล่าวว่าในชีวิตส่วนตัวของเขาเขาไม่เคยสนใจว่าคนรวยคนอื่นๆ ทำอะไร ตัวเขาไม่ต้องการมีเรือยอชต์ขนาด 405 ฟุต เพียงเพราะว่าเศรษฐีคนอื่นมีเรือยอชต์ยาว 400 ฟุต
ทุกวันนี้ บัฟเฟ็ตต์ยังคงอยู่ในบ้านหลังเดิมขนาด 550 ตารางเมตร ซึ่งซื้อเมื่อ 43 ปีก่อน ที่เมืองโอมาฮ่า รัฐเนบราสก้า ในราคา 1.3 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 21 ล้านบาท บัฟเฟ็ตต์บอกว่าคนเป็นหนี้บัตรเครดิต แสดงว่าคนคนนั้นใช้ชีวิตเกินฐานะของตัวเอง ซึ่งเรื่องของการเป็นหนี้บัตรเครดิตนี้ ดูเหมือนจะเป็นวิถีชีวิตของอเมริกันชนไปเสียแล้วในเวลานี้ [มือเก่าหัดขับ]

 5. มีต้นแบบที่ดี ยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต บัฟเฟ็ตต์เคยกล่าวไว้ว่า บอกมาเลยว่าใครคือฮีโร่ในดวงใจของคุณ ผมสามารถทำนายได้เลยว่าในอนาคตคุณจะเป็นอย่างไร เพราะคุณสมบัติของคนที่เราชื่นชมจะเป็นเครื่องนำทางไปสู่คุณสมบัติที่ตัวเราจะมี ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนเข้าช่วยนิดหน่อยจนพัฒนาเป็นนิสัย

 6. เลือกทำในสิ่งที่รักไม่ใช่เลือกทำเพราะเงินหรือผลตอบแทน บัฟเฟ็ตต์กล่าวว่า หากเราทำในสิ่งที่เรารัก เราจะทุ่มเททั้งกำลังกายและกำลังใจที่มีอย่างเต็มที่ ซึ่งผลที่ได้รับก็มักเป็นผลตอบแทนทางการเงิน

ตอนที่บัฟเฟ็ตต์เรียนจบปริญญาโท เขาไปทำงานกับ เบ็นจามิน เกรแฮม ซึ่งเป็นหุ้นส่วนบริษัทด้านการลงทุน Graham-Newman Partnership ทั้งๆ ที่ยังไม่ทราบว่าจะได้เงินเดือนเท่าไหร่ รู้แต่ว่าอยากทำงานกับเบ็น จามิน แกรห์ม เพราะพอได้ทำงานกับคนที่อยากทำ ตื่นเช้าขึ้นมาก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ทำงาน เพราะรู้ว่าเมื่อกลับถึงบ้านตอนเย็นหลังเลิกงาน ตัวเองจะฉลาดขึ้นกว่าเมื่อเช้าตอนก่อนออกจากบ้าน

เป็นอย่างไรบ้างครับ หวังว่าเพื่อนๆ คงได้หาวิธีที่ตัวเองสามารถพัฒนาตัวเองในโลกแห่งการลงทุนได้เช่นเดียวกันนะครับ

สุดยอด 10 วิธีที่จะทำให้ท่านเจ๊งหุ้นอย่างรวดเร็ว


มีเรื่องเกี่ยวกับหุ้นเขียนไว้เพื่อเป็นเทพแห่งเม่าโดยรวดเร็ว เรียกว่าหมดตัวหรือแม้แต่เป็นหนี้สินติดตามมาก็ยังได้อีก เรียกว่าจะเป็นทางลัดแห่งความเสียหายจากหุ้นก็ว่าได้ ไม่ปรากฏชัดแน่นอนว่าใครเป็นผู้รวบรวมสูตรไว้ แต่อย่างไรก็ตาม มีสูตรอยู่สิบประการดังนี้

1. เวลาหุ้นลงมีเท่าไหร่อย่าเพิ่งขาย ไม่ขายไม่ขาดทุนครับ เก็บไว้นานๆ โดยเฉพาะหุ้นผลประกอบการแย่ลง เก็บมันไว้ เดี๋ยวมันก็เด้งกลับ แต่ถ้ามันลงไปเกิน 50% แล้ว กลัวมันลงต่อ ให้ขายออกมา ไม่ว่าจะแค่ลงเพราะตกใจชั่วคราว ก็ให้ขายให้หมดแล้วอย่าไปดูมันอีก มันขึ้นก็อย่าไปสนใจปล่อยมันไปซะ

2. เวลาหุ้นลงข่าวร้ายเยอะๆ อ่านข่าวมันเข้าไป กลัวให้มากๆ อย่าไปซื้อตอนข่าวร้ายเต็มตลาดเด็ดขาด เพราะมันไม่น่าซื้อ เดี๋ยวมันจะต้องลงต่ออย่างแน่นอน ถึงฝรั่ง กองทุนจะอัดซื้อจำนวนมหาศาลก็ปล่อยเขาไปเดี๋ยวเขาก็เจ๊งเอง

3. หุ้นราคาขึ้นมานิด ได้กำไรมาหน่อยเดียวให้รีบขายทิ้งซะ อย่าโลภ เดี๋ยวกำไรหาย ให้ขายทิ้งให้หมดเลย ไม่งั้นจะติดดอยต่อได้

4. เชื่อฟังนักวิเคราะห์และมาร์เยอะๆ เพราะนักวิเคราะห์มีประสบการณ์มากกว่าเรา ต้องเชื่อฟังไว้มากๆ เขาเชียร์ซื้อตัวไหน ซื้อตามเขาไปเลยครับ เอาราคา ATO ไปเลย ซื้อแล้วราคาร่วงอย่าเพิ่งขาย เพราะที่เขาแนะนำดีจริงๆ ให้ถือไว้ยาวๆก็ได้ แล้วบอกคนอื่นๆว่าเราเป็น VI

5. เวลามีข่าวดีเต็มตลาด หุ้นวิ่งกระจาย ดัชนีพุ่งสูงปิ๊ด ต้องรีบซื้อตาม เพราะตอนนั้นแหละคือมันขึ้นแน่ๆ ซื้อพร้อมรายย่อยคนอื่นๆ รวยทั่วๆกัน เย้

6. หุ้นปั่นเป็นสิ่งที่ทำให้รวยเร็วที่สุด เรื่องอะไรจะต้องไปอยู่กับหุ้นพื้นฐานดีๆล่ะ ดูอย่าง SCC กว่ามันจะขึ้นแต่ละบาทแทบกระอัก ไม่คุ้มเสี่ยงหรอก เอาหุ้นปั่นเลยดีกว่า เห็นตัวไหนใน ticker ยาวๆ รีบตามเข้าทันที แล้วอย่าเพิ่งออก รอซักสามวันเจ็ดวัน หุ้นจะราคาพุ่งไปไกลอย่างแน่นอน

7. จากข้อหก ถ้าหุ้นปั่นที่ซื้อราคามันร่วงลงมา อย่าตกใจ ของถูกมากองอยู่ตรงหน้าแล้ว ให้รีบซื้อในราคาที่ลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลทันที โอกาสรวยอยู่ตรงหน้าแล้ว มันลง ก็ถัวซื้อเข้าไป ต้นทุนเราก็ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ทีนี้แหละ พอมันขึ้นเรากำไรเละ...

8. เล่นเองใช้เงินนิดเดียวคงไม่พอ รวยไม่ทันเขา ควรไปกู้ธนาคาร ยืมเพื่อน กดบัตรเครดิตออกมาซื้อด้วย โดยเฉพาะตอนมันเริ่มลงนิดนึง จะได้ถัวซื้อเข้าไป ไม่ต้องกลัว ต้นทุนเราต่ำลงเรื่อยๆ เดี๋ยวกำไรจากหุ้นก็เยอะกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ตั้งเยอะ ยิ่งถ้าลงหนักๆ ควรขายบ้าน ขายรถออกมาซื้อให้ได้ ขายไม่ทันก็เอาไปจำนองหรือไฟแนนซ์ไว้ก่อน

9. เวลาเล่นหุ้น ไม่ต้องหาหนังสือมาอ่าน หรือหาความรู้เพิ่มเติมหรอกครับให้เสียเวลา แน่ใจหรอว่าเราอ่านแล้วจะวิเคราะห์ได้ มือใหม่อย่างเราอย่ามั่นใจตัวเองเกินไปครับ ไม่ต้องไปสนใจมัน เดี๋ยวก็มีนักวิเคราะห์แจกหุ้นให้อยู่ทุกวัน ตามเว็บไซต์เว็บบอร์ดก็มี โทรถามมาร์เอาก็ได้เขาวิเคราะห์ดีกว่าเราเยอะแน่นอน

10. จะซื้อหุ้นไม่ต้องสนใจหรอกครับว่าบริษัทนั้นจะชื่ออะไร ทำธุรกิจยังไง ผลประกอบการเป็นยังไง จำตัวย่อให้ได้ก็พอ มันจะทำธุรกิจอะไรก็ช่างหัวมัน ซื้อตามเขาไปไม่จำเป็นต้องไปเข้าใจอะไรทั้งนั้น งบการเงินไม่จำเป็นต้องอ่านหรอก ใครเขาซื้ออะไรก็ซื้อตามๆ เขาไปนั่นแหละ

ลองทำตามกันดูนะครับ รับรองถ้าทำได้ตามนี้ ท่านจะเป็นเทพเจ้าแมงเม่าภายใน 7 วันเลยล่ะครับ

ประหยัดขึ้น-ฟุ่มเฟือยน้อยลง


สักพักหนึ่งมาแล้ว มีการพูดคุยกันในกระทู้เรื่อง "จริงหรือไม่ที่เมื่อเป็นนักลงทุนแล้วทำให้ประหยัดขึ้น ลดความฟุ่มเฟือยลง" นับว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจเลยทีเดียว มีการพูดคุยกันค่อยข้างกว้างขวาง แต่เพื่อนๆ จำนวนมากก็ค่อนข้างที่จะเห็นด้วยกับหัวกระทู้ที่ตั้งขึ้น นัยหนึ่งลึกๆ อาจจะเพราะว่า เมื่อเราได้ลงทุนแล้ว อย่างน้อยเงินที่ลงทุนนั้นก็ยังเหลือสักส่วนหนึ่ง (ถึงหุ้นตก ก็ไม่ได้กลายเป็นศูนย์ ถ้าเราไม่ได้ไปซื้อหุ้นปั่น หรือเผลอเก็บอนุพันธ์ ที่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นหุ้นแต่อย่างใด เอาไว้จนหมดอายุ) และเมื่อถือหุ้นไว้ ก็มักจะได้ปันผล ในจิตสำนึกแล้ว ก็จะเห็นว่าในเมื่อเราสามารถซื้อของที่เป็นสินทรัพย์ แล้วมันสามารถทำเงินให้เราได้ทั้งๆ ที่เราอยู่เฉยๆ ไม่ได้ต้องทำอะไร แล้วเราจะไปซื้อของที่สุดท้ายก็กลายเป็นขยะรกบ้านทำไมล่ะ (turn cash to trash)

อีกความรู้สึกหนึ่งของนักลงทุน (หรือผู้มีเงินเหลือแล้วซื้อหุ้น หรือลงทุนอย่างอื่น) ก็คือการที่ได้ซื้อของ มันก็เป็นการ shopping จับจ่ายอย่างหนึ่ง เพียงแต่ว่าเป็นการจ่ายเงินซื้อของที่สุดท้ายแล้วสามารถสร้างรายได้กลับมาได้ ไม่ใช่กลายเป็นขยะในเวลาต่อมา ซึ่งนี่คือข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดของคนรวย และคนจนก็คือ

คนรวย - จ่ายเงิน เพื่อสร้างระบบ หรือซื้อ/สร้างสินทรัพย์ที่สามารถให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินที่จ่ายไปนั้น (ถ้าให้ดีด้วย คือให้สินทรัพย์นั้นทำงานเองได้โดยที่ตัวเองไม่ต้องทำอะไร)

คนจน - จ่ายเงินเพื่อซื้อของที่สุดท้ายไม่ค่อยมีประโยชน์ หรืออาจจะนำพามาซึ่งภาระผูกพันอันจะทำให้ต้องสูญเสียเงินไปเรื่อยๆ อีกในระยะยาว

การที่คิดว่า จะจ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายออกไปทำไม ในเมื่อมีทางเลือกที่ดีกว่าคือการนำเงินนั้นไปซื้อของหรือสินทรัพย์ที่สามารถทำเงินให้เราได้เรื่อยๆ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร แล้วเราจะซื้อของที่เป็นขยะ หรือของที่เป็นของดี ล่ะ

อย่างไรก็ตามสำหรับผมแล้ว เงิน เป็นสิ่งที่ต้องใช้อย่างถูกต้อง การมีเงินแล้วเอาแต่เก็บเงิน (ฝังตุ่มหรือเก็บไว้ในที่ๆ ไม่เกิดผลงอกเงย) ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับใครเลย คนอื่นเอาไปใช้ก็ไม่ได้ (ไม่เหมือนฝากธนาคาร คนอื่นยังกู้ไปใช้ได้ เงินได้ไปทำงาน) ไม่ใช่สิ่งที่สำควรทำ มีเงิน ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง คือทำให้ตัวเองมีความสุขบ้างมีเท่าไร ลงทุนหมด เก็บหมด มันก็ไม่ไหว ต้องรู้จักแบ่งตามสมควรครับ