วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ขวัญหนีดีฝ่อ (ประสาทแตก)


สวัสดีครับเพื่อนๆ นักลงทุนทุกท่าน ดูเหมือนหายไปนานจนหลายคนสงสัยว่าผมยังเป็นนักลงทุนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หรือเปล่าหรือว่าขายหุ้นหนี้ หรือเจ๊งไปหมดแล้ว คำตอบก็คือยังคงเป็นนักลงทุนอาชีพอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เหมือนเช่นเดิมนะครับแถมยังถือหุ้นอยู่เป็นปกติด้วย เพียงแต่ที่หายไปนานเนื่องจากภารกิจเกี่ยวกับธุรกิจส่วนตัวที่ดูแลอยู่หลายอย่างซึ่งมีสิ่งที่จะต้องดูแลมากก็เลยอาจจะไม่ค่อยมีเวลาเขียนถึงเพื่อนๆ มากนัก

อย่างที่ผมเขียนไว้ตั้งแต่ต้นปีนี้ว่า จากสภาพเศรษฐกิจที่เห็นในฐานะของคนที่ประกอบธุรกิจไปด้วย มีความเห็น (เน้น ว่าแค่ความเห็น ในเชิงเปรียบเทียบกับที่ผ่านมาด้วยประสบการณ์) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ไม่น่าจะทำตัวสูงเกิน 1700 ไปได้  การกระเพื่อมขึ้นลงที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรตามปกติเท่านั้นเอง เพราะนอกจากมีนักลงทุนที่สั่งซื้อขายหุ้นหรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นด้วยตัวเองแล้ว ในปัจจุบันก็ยังมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่ช่วยในการทำอย่างนั้นทำให้การกระเพื่อมหรือขึ้นลงของราคาหุ้นเป็นไปอย่างรุนแรง รวดเร็ว และคาดเดาได้ยากยิ่งขึ้น (ปกติผมเองก็ไม่ได้คาดเดาอะไรอยู่แล้ว)

สถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ช่วงที่ผ่านมาสองสามเดือนดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ไทยเรียกไปว่าร่วงกราวรูดจนกระทั่งนักลงทุนหลายท่านที่เป็นที่รู้จักกันดีหรือแม้แต่เรียกว่าวีไอทั้งหลายถึงกับออกมาโอดครวญ บางท่านดูออกแนวเสียความมั่นใจ (ไม่อยากเรียกว่า สติแตก ลืมหลักการลงทุน) ไปเลยก็มี ทำให้เราต้องย้อนกลับไปถึงเป้าหมายในการลงทุนของตัวเราเสียก่อนว่าเรามองตลาดหลักทรัพย์อย่างไร เราเห็นการลงทุนเป็นสิ่งที่เราทำแล้วเราต้องการอะไรกันแน่ มันอยู่ที่ใจของเรา อย่าสนใจเรื่องหรือคนประสาทแตกมากนัก ของแบบนี้เป็นโรคติดต่อ เราอยู่ตรงไหนเราก็จะเป็นแบบนั้น มาสนใจตัดสินใจว่าเราจะทำอะไร เมื่อไร ดีกว่า

แน่นอนว่าถ้าเราตั้งเป้าหมายไว้ว่า ต้องการกำไรมากที่สุด เก่งกว่าคนอื่นที่สุด รวยที่สุด ไม่ผิดพลาดเลย ถ้าเราตั้งเป้าหมายอย่างนี้แล้วโอกาสที่จะสมหวังย่อมมีไม่มากนัก (มันเป็น ตรรกศาสตร์แบบ "และ" แถมยังมีสิ่งควบคุมไม่ได้อีกมาก) และที่สำคัญก็คือในทุกวันเวลาที่ผ่านไปเราก็จะไม่มีความสุข นอนไม่หลับ ไม่เป็นสุข สุดท้ายโรคภัยถามหา โรคประสาทกิน คุยกับใครก็หงุดหงิด ถ้าเป็นแบบนี้ผมว่าไม่ค่อยถูกเรื่องเท่าไรแล้ว จึงอยากให้มองย้อนกลับไปสมัยที่เราหรือแม้กระทั่งบุคคลเหล่านั้นยังไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทองอะไรวันนั้นเราคิดอะไรล่ะ

เราลงทุนก็เพื่อความสุข เราลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้มีผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนอื่น เราซื้อบริษัทที่มั่นคงกว่าบริษัทของเราเอง แถมแบ่งซื้อได้หลายบริษัท แน่นอนการลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์มีความเสี่ยงอยู่ แต่มันมากกว่าทำเองไหมล่ะ คุ้มกับการลงทุนไหม แค่ไหน  การลงทุนก็ยังมีหลายวิธีอีกไม่ว่าจะเป็นการดูราคาจังหวะเวลาปริมาณการซื้อขายที่เรียกว่าแนวเทคนิคอล (technical) หรือการลงทุนในแนวพื้นฐาน (fundamental) หรือการลงทุนที่ประยุกต์จากแนวพื้นฐานออกมาที่เรียกว่าวีไอ (VI - Value Investing) ก็มีข้อดีและคนด้อยต่างกัน แนวเทคนิคอลนั้นก็เหมือนกับการที่เราเรียนหนังสือแล้วตัดเกรดแบบ “อิงกลุ่ม” ในขณะที่แนววีไอนั้นผมอยากเปรียบเทียบไปแล้วก็คงเหมือนการเรียนหนังสือแล้วตัดเกรดแบบ “อิงเกณฑ์” มากกว่า

ทางเลือกและความเสี่ยง

การลงทุนในแนววีไอนั้นมีข้อดีตรงที่ว่าเราสามารถบอกได้ว่าราคาของหุ้นของบริษัทใบที่เราเห็นอยู่นั้นมีราคาที่น่าจะแพงเกินไปหรือถูกผิดปกติทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นโดยตัดอารมณ์ของราคาที่แกว่งไปมาออกไปได้นั่นเอง

ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่านักลงทุนแนววีไอจะไม่ขาดขาดทุนแน่นอน เพราะถ้าเรามองธุรกิจหรือโอกาสของตัวของธุรกิจผิดไปเราย่อมมีโอกาสขาดทุน แต่เรื่องนี้ต้องแยกออกจากเรื่องการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นตามปกติ คำว่าตามปกตินี้หมายความได้ทั้งการแกว่งในระยะสั้นอย่างรวดเร็วหรือแนวโน้มของการแกว่งที่มีระยะเวลานานขึ้นอันเกิดจากการซื้อขายของนักลงทุนบางกลุ่ม (เช่น กองทุน ต่างชาติ) แม้ว่าเราจะมองเห็นหรือคำนวณเห็นว่าราคาปัจจุบันของหุ้นตัวหนึ่งหนึ่งถูกมากแล้ว ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่ราคาจะลดลงไปอีก ทั้งนี้ก็เนื่องจากอารมณ์ของตลาดอารมณ์ของบุคคลในตลาดและสภาพแวดล้อมต่างๆซึ่งส่วนมากแล้วไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพื้นฐานของบริษัท สิ่งที่เราทำได้ก็คือเมื่อราคาหุ้นขึ้นเราจะทำอย่างไรเมื่อราคาหุ้นลดลงเราจะทำอย่างไรกับหุ้นตัวนั้นๆ ที่เราถืออยู่ ทั้งหมดทั้งสิ้นก็ต้องดูด้วยว่าตัวเราเองมีเวลาเท่าไร  เราขายหุ้นทิ้งไปก่อนแล้วเราจะซื้อกลับทันไหม หรือถ้าเรากระโดดซื้อตามในจังหวะหุ้นขึ้นเราจะขายตัดขาดทุนออกมาทันหรือเปล่า ก็ต้องขึ้นกับนิสัยของราคาหุ้นนั้นนั้นด้วยเช่นกัน

โดยสรุป

ทั้งหมดที่เล่ามาวันนี้ก็คือหลักการลงทุนแบบวีไอ ก็คือการที่เราบอกได้ว่าราคาของหุ้นของบริษัทหนึ่งที่เหมาะสมในวันนี้หรืออนาคตควรจะเป็นเท่าไร จะต้องมี "กรอบเวลา" ประกอบด้วย ความแม่นยำก็ขึ้นอยู่กับความชำนาญของการเป็นนักลงทุนของเราเอง อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่านักลงทุนแนววีไอจะได้กำไรทุกครั้งในทุกวินาทีที่ลงทุน บางทีเราอาจจะขาดทุนในพอร์ตบ้าง บางครั้งเราขาดทุนจริงๆ ก็มี  แต่โอกาสที่เราจะ ขาดทุนน่าจะมีน้อยครั้งกว่าโอกาสที่เราจะได้กำไร และเมื่อเราเสียหายหรือขาดทุนเข้าจริงๆ เราก็น่าจะขาดทุนน้อยกว่าเมื่อเราได้กำไร  เพียงแค่นั้นก็ดีมากแล้วไม่ใช่หรือ

ความโลภทำลายทุกสิ่ง อย่าตั้งความหวังว่า "ที่สุด" เดี๋ยวประสาทแตกเสียก่อน มีเงินก็ไร้ประโยชน์ นะครับ