ตลาดหุ้นนั้น เป็นเหมือนดาบสองคม ถ้าใช้ให้ดีก็เป็นประโยชน์ ถ้าใช้ไม่ดีก็กลายเป็นโทษได้ การเปรียบตลาดหุ้น กับสนามฟุตบอล หรือวงการฟุตบอลนั้น ถือได้ว่าใกล้เคียงไม่น้อย เพราะว่าโดยพื้นฐานแล้ว กีฬาเป็นสิ่งดีมีประโยชน์ ทำให้ร่างกายแข็งแรง ส่งเสริมให้คนรู้จักการแพ้ ชนะ และการให้อภัย แต่อย่างไรก็ตาม มนุษย์ก็ยังคงอาศัยสิ่งที่อยู่รอบตัว ในการสร้างสรรค์ทั้งคุณและโทษให้กับตัวเองและสังคมได้เสมอ (โดยที่มักจะมีคนบางกลุ่มได้ผลประโยชน์แฝงอยู่) จึงเห็นสิ่งที่เรียกว่า การพนันฟุตบอล การแทงบอล โต๊ะบอล หรือแม้แต่ล้มบอล ก็ตามทีย้อนกลับมาที่ตลาดหุ้นก็เช่นกัน ผมถือว่าตลาดหลักทรัพย์นั้นนับได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเลยก็ว่าได้ ลองคิดดูในเวลาก่อนที่จะมีตลาดหลักทรัพย์สิ ว่าเมื่อคนเราต้องการที่จะเรียกระดมทุน ย้าย เปลี่ยนมือ (แม้กระทั่งเปลี่ยนมือจากเจ้าของคนหนึ่ง ไปยังอีกคนหนึ่งแทบจะทั้งหมด) การจะทำอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก ต้องจัดการตกลงกันเอง ตกลงกันได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ราคาถูกต้องมากบ้าง ถูกต้องน้อยบ้าง แล้วแต่การต่อรอง แต่เมื่อเกิดตลาดหลักทรัพย์ขึ้นมาในโลกนี้ การต่างๆ ดังที่ว่ามาทั้งหมดนั้นก็ง่ายขึ้นมาก การเปลี่ยนมือ เปลี่ยนเจ้าของของกิจการ เป็นบางส่วน (หรือแม้แต่เป็นส่วนมาก ส่วนใหญ่) ทำได้ง่ายมากเพียงไม่กี่วินาที ผมจึงถือว่านี่คือสิ่งมหัศจรรย์ของโลกเลยอย่างหนึ่งทีเดียว
ส่วนเรื่องการมองเห็นตลาดเป็นโอกาส หรือวิกฤตนั้น ขึ้นกับตัวของเราเอง เปรียบไปก็เหมือนกับคนที่เข้าไปดูฟุตบอล หากดูเพื่อการบันเทิง ดูเพื่อการศึกษา ดูเพื่อเอามาปรับปรุงการเล่นของตัวเองให้ดีขึ้น (หรือแม่แต่เล่นกีฬาอื่นๆ อยู่) ก็จะเป็นประโยชน์ แต่หากใช้สนามฟุตบอลในแง่ลบ เช่นเป็นแหล่งทำให้เกิด "ตัวตั้ง" ซึ่งก็คือผลการแข่งขัน แล้วนำมาแทงว่าใครจะแพ้เสมอ หรือชนะ ก็จะกลายเป้นโทษได้
ตลาดหุ้นก็เช่นเดียวกัน ในระยะเวลาอันสั้น ราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนถึงผลประกอบการที่แท้จริงของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ การขึ้นลงของราคาหุ้นจึงเป็นการขึ้นลงจากการ ให้ราคา, จากความคาดหวัง หรือแม้แต่จากการ ทำราคา ก็ตามแต่ ซึ่งกับหุ้นของบางบริษัทในบางเวลา การแกว่งของราคาเนื่องจากสาเหตุดังกล่าว มากมายเกินกว่าผลประกอบการของบริษัทนั้นๆ ด้วยซ้ำไป การเข้าไปซื้อหรือขายหุ้นตามการขึ้นลง โดยไม่ได้ไตร่ตรองถึงความสมเหตุสมผลของราคาที่ซื้อหรือขายนั้น ก็คือการ "เก็งกำไร" หากทำบ่อยเข้าและผสมกับข่าวที่ได้รับ ก็จะกลายเป็นการ "เล่นหุ้น" ไป โดยหวังการขึ้นลงของราคาทำให้ได้กำไร โดยข้อเสียที่ถูกลืมไปก็คือผู้ซื้อขายมักจะไม่ได้ "เก็งขาดทุน" ไปด้วยพร้อมๆ กัน
ในระยะเวลาอันสั้น ตลาดหุ้นเป็น zero-sum game ก็คือเมื่อมีคนหนึ่งได้ อีกคนหนึ่งจะเสีย ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจาก "ค่าแทง" ที่อยู่ในตลาดนั้นเท่ากัน มูลค่าของบริษัทยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปได้ในช่วงเวลาอันสั้นเช่นนั้น แต่ในระยะเวลาที่นานกว่า หากเศรษฐกิจดี หรือ บริษัทมีการดำเนินกิจการที่ดี การซื้อ-ขายหุ้นของบริษัทหนึ่งๆ นั้นจะไม่ใช่ zero-sum game แต่เป็นผลรวมแบบเพิ่มขึ้น (positive-sum game) เหตุผลก็เพียงง่ายๆ เพราะว่าบริษัทมีกำไร ทำให้มูลค่าที่จับต้องได้ของบริษัทมีจำนวนเพิ่มขึ้น ผู้ที่ซื้อหุ้นไว้ในราคาที่ไม่แพงเกินไปจะได้ประโยชน์กันถ้วนทั่ว
หากจะตอบคำถามที่่ว่า เล่นหุ้นเหมือนกับเล่นพนันฟุตบอลไหม? คำตอบคงเป็นว่าใกล้เคียงกันมาก แต่ถ้าถามเพิ่มอีกสักนิดว่า การลงทุนในหุ้นเหมือนกับเล่นพนันฟุตบอลไหม คำตอบคงต่างไปจากนี้จนแทบจะตรงกันข้ามได้เช่นกัน สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่โชคร้ายจริงๆ แล้ว ทุกอย่างขึ้นกับการเลือกที่จะทำอะไร และไม่ทำอะไรของตัวนักลงทุนเองครับ