วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2565

อัตราดอกเบี้ย FED กับตลาดหุ้น

 

ตกอกตกใจกันไปพร้อมหน้าสำหรับวันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน 2565 ที่มีความกังวลว่าธนาคารกลางของสหรัฐฯ หรือ FED (Federal Reserve) จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยกว่าที่คาดการณ์เพื่อสกัดเงินเฟ้อ นั่นคือสิ่งที่เราได้รับทราบจากข่าวทั่วไป แต่ในฐานะนักลงทุนลองมาดูในรายละเอียดสักนิดว่าที่มาที่ไปคืออะไรนะครับ 

Federal Reserve (System) หรือ Fed หรือธนาคารกลางสหรัฐ แม้จะได้ชื่อเป็นแบบที่เห็น แต่ไม่ได้รับสนับสนุนเงินทุนจากรัฐสภาสหรัฐฯ และถือว่าตัวเองมีความเป็นอิสระ คือตัดสินใจนโยบายการเงินได้เองโดยไม่ต้องรอให้ประธานาธิบดีหรือสภาเห็นชอบ จนหลายครั้งก็มีข้อขัดแย้งกันเป็นธรรมดา สิ่งที่ Fed ทำคือการปรับอัตราดอกเบี้ยซึ่งมีทั้งระยะสั้นและระยะยาว ทำให้มีผลกระทบต่อระบบการเงิน ธุรกิจตามมามากมาย โดยหลักการแล้วจะปรับอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลง (นั่นคือต่ำลงทั้งเงินฝากและเงินกู้) เมื่อเริ่มมีการฝืดเคืองของเงิน นั่นคือเงินไปกองอยู่และไม่มีใครเอาไปใช้ ดอกเบี้ยที่ต่ำลงทำให้ต้นทุนทางการเงินของธุรกิจต่ำลง นักธุรกิจหรือบุคคลก็อาจจะกู้เงินเพื่อมาลงทุน ทำให้มีการซื้อขายสินค้า อสังหาริมทรัพย์ ขยายกิจการธุรกิจโรงงานห้างร้านต่างๆ ในทางกลับกัน ถ้าเศรษฐกิจเติบโตเร็วเกินไป เกิดภาวะเงินเฟ้อมากเกินไป Fed ก็อาจจะพิจารณาเพิ่มดอกเบี้ย เมื่อดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น (ทั้งเงินฝากและเงินกู้) ต้นทุนทางการเงินก็สูงขึ้น การกู้หนี้ต่างๆ จะลดลง ผู้คนอาจจะเริ่มนำเงินมาฝากกับธนาคารเพื่อหวังได้รับดอกเบี้ยแทนการนำไปใช้จ่าย ดังนั้นเมื่อ Fed ขึ้นดอกเบี้ยตลาดหลักทรัพย์ก็จะตกลงมา และในทางตรงกันข้ามเมื่อ Fed ลดอัตราดอกเบี้ยตลาดหลักทรัพย์ก็จะพุ่งทะยานสูงขึ้น 

เช่นปัจจุบันนี้เลยคือ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของสหรัฐอเมริกาปรับตัวลดลงมา -2,016.77 จุดหรือ -6.15% เป็น 30,766.26 จุด ณ เวลาที่กำลังเขียนบทความนี้ (13 มิถุนายน 2565) 

ทำไมอัตราดอกเบี้ยจาก Fed มีผลกับตลาดหลักทรัพย์ประเทศอื่นด้วย

ที่พูดถึงในย่อหน้าบนก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นโดยตรงในประเทศสหรัฐอเมริกาเองซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ก็ส่งผลลบกับตลาดหลักทรัพย์ของเขาเช่นกัน  แล้วประเทศอื่นล่ะเกี่ยวอะไรด้วย ทุกครั้งที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยซึ่งดูไม่เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นไปในหลายประเทศนั้นเป็นผลต่อเนื่องมา เนื่องจากสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐอเมริกามีการแลกเปลี่ยนโอนถ่ายกันได้ง่าย เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นก็จะมีบรรดานักลงทุนนำเงินมาฝากไว้กับสถาบันการเงินที่อิงอัตราดอกเบี้ยกับ Fed นักลงทุนเหล่านี้อาจจะมาเองหรือผ่านนายหน้าสรรหามาก็ตาม ทำให้อาจจะมีการยักย้ายถ่ายโอนของเงินจากการลงทุน (หรือเก็งกำไร) ในประเทศอื่นกลับไปยังสหรัฐอเมริกา และแน่นอนถ้ามีการแลกเปลี่ยนเงินโดยมีความต้องการเงินดอลล่าร์สหรัฐมากกว่าเงินสกุลของประเทศนั้นๆ ด้วยแล้ว จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นตกต่ำลงด้วย 

ผลต่อการดำเนินธุรกิจจริงๆ ของบริษัทที่เราลงทุน 

การเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยของ Fed ดูเหมือนจะไกลตัว แต่มีผลทั้งการโยกย้ายเงินไปมา และค่าเงิน นั่นอาจจะเป็นเหตุทำให้อัตราดอกเบี้ยของประเทศต่างๆ ต้องปรับตัวด้วย ไม่เช่นนั้นอาจจะมีเงินไหลออกไปที่ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า และ/หรือ สกุลเงินที่ปลอดภัยกว่าได้  ถ้าเราเป็นผู้ลงทุนก็ต้องดูว่าบริษัทที่เราสนใจนั้นมีลักษณะใดต่อไปนี้เพียงใด

1. มีหนี้สินที่มีดอกเบี้ยจ่ายแค่ไหน 
บริษัทที่มีหนี้มากและต้องจ่ายดอกเบี้ยมากจนมีผลต่องงบการเงิน รวมทั้งไม่สามารถทำให้ต้นทุนทางการเงินต่ำลง (เช่น ออกหุ้นกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่ดี ออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อลดสัดส่วนเงินกู้)  จะได้รับผลกระทบมาก

2. บริษัทมีรายรับรายจ่ายเป็นสกุลเงินต่างประเทศเพียงใด
อย่างที่เล่าให้ฟังว่า การโยกย้ายถ่ายเทเงินอันเป็นผลมาจากอัตราดอกเบี้ยประเทศสหรัฐฯ ที่เปลี่ยนไปสามารถมีผลทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินเปลี่ยนไปได้ เรื่องนี้เป็นได้ทั้งผลดีและผลเสีย ถ้าบริษัทมีรายรับเป็นสกุลเงินต่างประเทศแต่เงินไทยมีค่าต่ำลง เมื่อแลกเป็นเงินบาทไทยก็จะได้จำนวนมาก กลายเป็นผลดีไปได้ ในทางกลับกันหากต้องซื้อสินค้าเป็นสกุลเงินต่างประเทศแต่เงินบาทไทยด้อยค่าลงก็ต้องจ่ายเป็นเงินบาทไทยจำนวนมากขึ้นย่อมไม่เป็นผลดี

3. ธุรกิจเราทำอะไรจริงๆ
สินค้าและบริการหลายอย่างอาจจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงและ/หรือมากนักจากการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยของ Fed ก็ได้ เช่นบริษัทที่หนี้สินน้อย ขายสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ราคาไม่สูงที่ลูกค้าไม่ต้องกู้มาซื้อ ใช้วัตถุดิบภายในประเทศและขายภายในประเทศ เช่นนี้ก็จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงมากนัก

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่างๆ กับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ส่วนมากเป็นผลทางจิตวิทยาในระยะสั้น สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ลงทุนในบริษัทที่ดี มีภูมิต้านทานต่อพิษเศรษฐกิจแล้ว คงไม่ต้องตกใจมากนัก เพียงแต่ต้องสำรวจสุขภาพการลงทุนของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ และปรับการลงทุนตามไปเมื่อจำเป็นและสมควร

ทดลองทำ

ลองดูว่า บริษัทที่เราสนใจ หรือที่ลงทุนอยู่ มีหนี้สินที่มีดอกเบี้ยจ่ายเท่าใด มีรายจ่ายและรายได้เป็นสกุลเงินต่างประเทศหรือบาทไทยในอัตราส่วนเท่าใด และทำธุรกิจที่มีวัตถุดิบหรือสินค้าที่ต้องนำเข้าหรือส่งออกด้วยสกุลเงินอื่นมากหรือน้อยอย่างไร 

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2565

ตัวอย่างการโฟกัสการลงทุน

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้นเปิดกว้างมากสำหรับนักลงทุน ทุกวันมีทั้งนักลงทุนที่จากไป (เดี๋ยวๆ  ไม่ได้จากไปแบบไม่มีวันกลับอะไรทำนองนั้น แต่เป็นการออกจากตลาดฯ ไปเองแบบเต็มใจ อาจจะเพราะไม่สมหวังหรือด้วยเหตุผลอื่น) และก็มีนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาตลอดเวลา สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่ลงทุนในหุ้นหรืออะไรก็ตามแล้วถ้าเป็นมือใหม่จริงๆ เวลาที่เราเริ่มลงทุนเรามักจะแยกของที่ดีออกจากของที่ไม่ดีได้ แต่บางครั้งยังไม่สามารถแยกของที่ดีมากและดีเลิศออกจากของที่ดี ของพอใช้ได้ ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็มักจะเป็นว่าเรา ซื้อหุ้นของบริษัทนั้นบริษัทนี้ปะปนกันไปหมด 

ชอบหลายบริษัทมากเกิดอะไรขึ้น

การที่เรารักชอบบริษัทต่างๆ นั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ในการลงทุนเราจำเป็นต้องคัดเลือกให้เหลือจำนวนน้อยลงพอสมควร  ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าเราซื้อหุ้นหลายบริษัทมาก (ลองนึกตามในใจนะครับ เช่น 100 บริษัท สมมติแบบเกินเลยไว้หน่อยจะได้นึกภาพออก)  ด้วยทฤษฎีทางสถิติแล้วยิ่งเราซื้อหุ้นมากบริษัทเท่าไรผลตอบแทนก็จะเป็นไปตามตลาดเท่านั้น (จริงๆก็อาจจะดีกว่าหรือแย่กว่านิดหน่อยแต่ก็ไม่มากนัก)  ดังนั้นนักลงทุนอาจจะต้องใช้ความพยายามเพิ่มขึ้น (บางครั้งอาจจะมากพอสมควรเลยล่ะ) ในการแยกบริษัทที่ดีมากและดีมากๆ สำหรับเราออกจากบริษัทที่ดีให้เหลือจำนวนน้อยๆ ส่วนกิจการที่ไม่ดีนั้นไม่พูดถึงเพราะเราคงคัดออกไปก่อนอยู่แล้ว 

แล้วต้องเหลือกี่บริษัท

คำแนะนำเบื้องต้นก็คือ ในการซื้อหุ้นลงทุนแรกนั้นไม่ควรจะเกิน 3 บริษัท และอาจจะวางแผนลงทุนเป็นเงินจำนวนเท่าๆ กันในแต่ละบริษัท (ซึ่งเทคนิคการซื้อเพื่อให้ได้ต้นทุนที่ไม่สูงเกินไปนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก) และเมื่อพอร์ตใหญ่ขึ้นก็ไม่เกิน 5 บริษัท จนถึงระดับเกิน 10 ล้านบาทจึงพิจารณาอะไรที่เกินกว่า 5 บริษัทได้ ด้วยวิธีแบบนี้ เมื่อหุ้นใดที่เราลงทุนและเราเลือกถูกต้องปรับราคาขึ้นไป ก็จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ดีกว่าการที่เราเอาเงินจำนวนไม่มากแต่กระจายซื้อหุ้นหลายบริษัทมากเกินไป แบบนั้นถึงแม้หุ้นของบริษัทที่เราลงทุนปรับราคาสูงขึ้นไป เราก็ไม่ได้กำไรมากมายนักเพราะเงินลงทุนในหุ้นนั้นไม่มากนั่นเอง

โดยสรุปก็คือ นักลงทุนต้องฝึกฝนตัวเองจนสามารถเลือกหุ้นที่ตัวเองชอบ ถนัด รู้จัก และประเมินมูลค่าที่แท้จริงได้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด และมีศักยภาพในการเติบโตได้ดีเพียง 3-5 บริษัทให้ได้นั่นเอง

คำแนะนำในการแบ่งซื้อ

ใน 3-5 บริษัทที่เราสามารถคัดออกมาได้ เราอาจจะไม่จำเป็นต้องซื้อในจำนวนเงินเท่ากัน ถ้าเห็นว่าบริษัทใดมีศักยภาพดีกว่าบริษัทที่เหลือก็โยกย้ายเงินไปไว้มากเป็นพิเศษได้ แต่ถ้าไม่แน่ใจจะแบ่งเท่าๆ กันก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด เช่นมีเงิน 100,000 บาท อาจจะซื้อเพียง 3 บริษัท ถึงหุ้นจะไม่ขึ้นไปมากอย่างน้อยก็น่าจะเลือกบริษัทที่ได้ค่าตอบแทนมั่นคงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารได้ล่ะน่า หรือถ้าเงินมากหน่อยเช่น 1,000,000 บาท ก็อาจจะซื้อ 5 บริษัท หรือ 10,000,000 บาทก็ขยับเป็น 7-8 บริษัท เป็นต้น ถ้ามีหุ้นของบริษัทที่เราเลือกปรับตัวขึ้นไปมากในขณะที่หุ้นอื่นไม่ตกหล่นลงไปนัก (ถ้าเลือกดี วางแผนในการซื้อดี ก็ไม่เสียหายมากหรอก) ก็ชนะเงินฝากได้สบายแล้ว   การแบ่งเงินเท่ากันก็สบายใจตรงที่ไม่ต้องกังวลในกังวลอีกทีว่าขนาดเลือกเหลือ 3-5 บริษัทแล้ว ยังจะวางเงินไว้ผิดที่อีก  แต่ถ้าหุ้นที่เราเลือกไว้เพียง 3-5 บริษัทนี้ยังไม่ขึ้นไปในเวลาที่เราคาดหวัง ก็ถือว่าเราอาจจะเลือกผิด (จริงๆ อาจจะไม่ได้ผิดที่พื้นฐาน แต่ผิดที่ผู้คนไม่สนใจเกินไปก็ได้นะครับ) ก็ต้องทำใจนิดหนึ่ง แต่จากประสบการณ์อยากบอกว่า ถ้าดูดีแล้ว ต้องมีสัก 1-2 บริษัทที่เราได้กำไรเป็นกอบเป็นกำล่ะครับ 

ทดลองทำ

ลองกำหนดเงินที่ตัวเองจะลงทุนดูว่าเป็นเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นเงินก้อนครั้งเดียวที่มีอยู่แล้ว หรือจำนวนที่คิดว่าจะลงทุนในช่วง 1-2 ปีนี้ (คือ เติมเงินที่ได้จากการทำงานลงไปเรื่อยๆ ก็ได้) ว่าเป็นเงินเท่าไร จากจำนวนเงินนั้นก็เลือกจำนวนบริษัทที่เราจะซื้อหุ้นเพื่อลงทุน (เช่น 100,000 บาท ก็เลือก 2 บริษัท เป็นต้น) แล้วลองเลือกดูว่า จะเป็นบริษัทอะไรในราคาเท่าไร ซื้อเพราะเหตุผลอะไร ราคาวันนี้เท่าไร ราคาตามมูลค่าของบริษัทเป็นเท่าไร เมื่อไรในอนาคต เป็นต้น 

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565

การซื้อขายหุ้นเป็นการเก็งกำไรหรือลงทุนกันแน่

ถ้าจะว่าไปแล้วเวลาคนเราลงทุนลงแรงเพื่อทำอะไรสักอย่าง ก็คงไม่มีใครวางแผนเพื่อที่จะขาดทุนกันหรอก  ยกเว้นบางคนที่วางแผนขาดทุนโดยตั้งใจเพื่อผลประโยชน์ที่มากกว่าที่จะตามมาก็มี แต่เอาเป็นว่านั่นเป็นคนละประเด็นกันก็แล้วกัน โดยทั่วไปการซื้อขายหุ้นจริงๆ แล้วก็คือการวางแผนเพื่อให้เราได้กำไรนั่นแหละ  ดังนั้นก็มักมีคนถามว่าอ้าวแล้วถ้าแบบนั้นมันไม่ใช่เป็นการเก็งกำไรหรือ ถ้าจะตอบว่าไม่ใช่ไปทั้งหมดก็คงไม่ถูกหรอกครับ เพราะลึกๆ แล้วส่วนหนึ่งมันคือการเก็งกำไรนั่นแหละ

อย่างไรก็ตามการซื้อหุ้นนั้นมี สภาพการณ์ วิธีการ และตัวเลือก ให้เรากระทำได้ในหลายลักษณะ เริ่มตั้งแต่การ ฟากการซื้อขายแบบเก็งกำไรจริงๆ ไปจนกระทั่งเป็น ฟากการลงทุนเกือบจะแท้จริง สังเกตดีๆนะครับตรงอย่างที่หลังที่ผมใช้คำว่า "เกือบจะแท้จริง" เพราะอย่างที่บอกไปข้างบนก็คือการลงทุนนั้นในบางแง่มุมก็มีการเก็งกำไรผสมด้วยอยู่ดี 

ฟากการเก็งกำไร

การเก็งกำไรแบบแท้จริงอาจจะด้วยการไม่สนใจอะไรเลย และซื้อขายในหุ้นตัวใดก็ได้ที่ถูกใจ ราคาตามมูลค่าต่อหุ้นเป็นเท่าไรไม่ต้องคำนวณหรอก โดยอาจจะเป็นหุ้นพรายกระซิบ หรือให้ทันสมัยหน่อยก็คือไปสอบถามตามเว็บบอร์ดหุ้นว่า พรุ่งนี้เขาจะเล่นอะไรกัน หรือดูการแกว่งตัวของราคาหุ้น แล้วก็ซื้อขาย บางคนซื้อราคาเปิดขายราคาปิดวันเดียวกัน หรือซื้อราคาปิดวันนี้ขายราคาเปิดวันรุ่งขึ้น ให้ได้เสียกันไปข้างหนึ่งเลยก็มี บางคนคิดว่าหุ้นลงมาตั้งเยอะแล้วประเดี๋ยวก็ต้องขึ้นบ้างล่ะ สู้ตาย ว่างั้นเถอะ ไม่รู้ว่ารอดหรือตายไปเท่าไรเหมือนกัน 

ฟากการลงทุนเกือบแท้จริง

ไล่เรื่อยมาในวิธีการจนกระทั่งเป็นการ ลงทุนเกือบจะแท้จริง แบบนี้คือดูสารพัดอย่างไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานของบริษัทว่าทำอะไร ขายอะไร บริการอะไร มีลูกค้ามากน้อยเพียงใด มีอัตรากำไรแค่ไหน ประเมินความเป็นไปได้ในการเติบโตของธุรกิจ คำนวณราคาหุ้นตามมูลค่าของบริษัท คำนวณความเสี่ยง วางแผนวิธีการซื้อและขายกับราคาของหุ้นที่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ แล้วก็ลงมือลงทุน ซึ่งแน่นอนว่านักลงทุนที่ใช้วิธีเช่นนี้ย่อมจะต้องดูว่าราคาที่ซื้อหรือราคาเฉลี่ยที่ซื้อจะต้องต่ำกว่าราคาที่หุ้นของบริษัทนั้นสามารถขึ้นไปได้ภายใต้พื้นฐานของธุรกิจของบริษัท (คือ Value นั่นล่ะ) แต่การคาดการณ์ว่าราคาจะต้องสูงขึ้นไปอีกก็คือการเก็งกำไรที่ผสมอยู่นั่นเอง และเป็นการเก็งกำไรแต่อยู่บนพื้นฐานของความจริงและความน่าจะเป็น เมื่อทำซ้ำๆ กันหลายครั้งก็น่าจะมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าการลงทุนแบบโยนหัวโยนก้อย 

สรุป

ดังนั้นโดยหลักแล้วการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ย่อมมีการเก็งกำไรผสมอยู่ด้วยเสมอ เราต้องยอมรับในจุดนั้นก่อน เพียงแต่เราต้องเลือกจุดยืนว่าจะเอียงไปด้านใด เช่น เก็งกำไรมาก หรืออยู่ในด้านการลงทุนมาก ก็เป็นเรื่องที่ผู้ลงทุนต้องตัดสินใจเอง ส่วนนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าก็จะเก็งกำไรกับการซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานของธุรกิจนั้น  การที่เรานึกเสมอว่าการลงทุนเป็นการเก็งกำไรอยู่ด้วย เพราะสัญชาติญาณหนึ่งของนักเก็งกำไรคือการ เอาตัวรอด การรักษาเงินทุน (เงินต้น) เอาไว้ แม้ว่าเราเป็นนักลงทุนแนวเน้นมูลค่าของกิจการ แต่จะเป็นการดีที่เรามีสัญชาติญาณสองอย่างที่ว่ามานั้นด้วย ก็จะทำให้ความเสี่ยงลดลงไปอีก

ทดลองทำ

ลองเลือกหุ้นของบริษัทที่เราสนใจสัก 3 บริษัท แล้วพิจารณาว่าราคาตามมูลค่าเป็นเท่าไร ราคาบนกระดานเป็นเท่าไรต่ำกว่าหรือสูงกว่าราคาตามมูลค่าเท่าไร และใน 3 บริษัทนั้นมีบริษัทใดที่เราคิดว่าจะได้กำไรในระยะเวลาเท่าไร ด้วยปัจจัยอะไรบ้าง และในที่สุด ใน 3 บริษัทที่เราเลือกมานี้ ถ้าเราซื้อมันจริงๆ จะเป็นการลงทุนหรือเก็งกำไรมากกว่ากัน

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

การซื้อเหรียญคริปโตเป็นการลงทุนหรือไม่


พูดตรงๆ เลยว่าทีแรกผมก็สองจิตสองใจเหมือนกันนะครับว่าจะเขียนเรื่องนี้หรือไม่ แต่ในไหนๆ ก็เป็นเรื่องที่ยังถือว่าค่อนข้างทันสมัยก็เลยเขียนมาเล่าสู่กันฟังสักนิดก็คงจะไม่เสียหายอะไร เหตุผลที่สองจิตสองใจก็เพราะในบางมุมมองแล้วคนเรามีความรู้ต่อคำว่าการลงทุนและการเก็งกำไรไม่ชัดเจน จนบางครั้งหลายคนอาจจะมีความรู้สึกว่าการซื้อและขายบรรดาเหรียญคริปโตต่างๆ ที่เรียกว่า Crypto Currency นั้นเป็นการลงทุน ดังนั้นก่อนที่เราจะมาบอกว่ามันเป็นการลงทุนหรือไม่เราก็มาดูนิยามของคำว่าการลงทุนกันก่อน

การลงทุนคืออะไรแน่

จริงๆ แล้วคำว่าการลงทุนนั้นกว้างขวางมาก บางครั้งเลยทำให้สับสนหรือถูกทำให้สับสนเข้าใจเป็นอย่างอื่นไปได้ เช่นทำอะไรก็ได้ด้วยวิธีการที่ไม่ผิดกฏหมายแล้วได้เงินเพิ่มขึ้นมาถือว่าเป็นการลงทุน จนบางคนบอกว่าลงทุนซื้อล็อตเตอรี่ ซึ่งก็ไม่น่าจะใช่แล้วล่ะ (นึกถึง คลอเรสเตอรอล ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ไขมัน แต่ถูกทำให้ผู้คนเข้าใจไปได้ว่าเป็นไขมันและต้องกำจัดออกไปโดยไม่ต้องบอกตรงๆ แบบนั้นเพราะบอกไม่ได้ มันไม่ถูกต้อง ถือว่าเก่งมากเลยนะ)  แต่โดยทั่วไปในมุมมองของนักลงทุนจริงๆ การลงทุนคือการใช้สินทรัพย์ที่เรามีไม่ว่าจะอยู่ในรูปความรู้ ความพยายาม และแน่นอนว่าหมายถึงเงินด้วย เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สามารถคาดคะเนได้ด้วยความเสี่ยงที่ต่ำกว่าผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้ นอกจากนั้นยังมีประเด็นที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างก็คือเราจะต้องรู้ว่าสิ่งที่เราจ่ายไปนั้นเพื่อซื้ออะไรและเรากำลังได้อะไรกลับมาจากการจ่ายทุนที่เราลงไปนั้น

ตัวอย่างเช่นถ้าเราเปิดกิจการร้านก๋วยเตี๋ยวเราก็คงจ่ายเงินซื้อหน้าร้าน หม้อ ไห กระทะ เตาไฟ โต๊ะเก้าอี้ ทั้งหลายอย่างน้อยก็ยังเห็นว่าเรามีของเหล่านี้มาจากเงินที่จ่ายไปถ้ากิจการก๋วยเตี๋ยวไม่ดีเราก็อาจจะย้ายที่ไปทำที่อื่นหรือกระทั่งขายบรรดาอุปกรณ์ที่เราซื้อมาได้ ในระหว่างที่เราทำกิจการก๋วยเตี๋ยวก็สามารถคาดการณ์ได้ว่าลงทุนเท่าไร ขายได้จำนวนกี่ถ้วยกี่ชามต่อวัน กำไรชามละเท่าไร หักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วเหลือเท่าไร (ยังไม่คิดถึงเรื่องค่าเสื่อมราคา ภาษีต่างๆ ก็แล้วกัน) ก็เป็นสิ่งที่คาดคะเนได้  เปรียบกับการซื้อหุ้นเราก็อยากรู้ว่าสิ่งที่เราจ่ายเงินไปนั้นคือส่วนของบริษัทที่ประกอบไปด้วย โรงงาน ที่ดิน ชื่อยี่ห้อ ความรู้ในการผลิตสินค้า และที่สำคัญก็คือตลาดและลูกค้าที่ธุรกิจนั้นมีอยู่ ทำให้เราสามารถประเมินได้ว่าผลตอบแทนจากเงินที่เราลงไปนั้นจะเป็นเท่าไร เราอาจจะประเมินจากอดีตที่ผ่านมา จากสภาพการณ์ของธุรกิจในปัจจุบันและอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้รู้ถึงผลตอบแทนที่กำลังจะตามมา ที่สำคัญก็คือ ในระหว่างที่เราถือสินทรัพย์ที่เราลงทุนไปนั้นสินทรัพย์นั้นกำลังทำงานสร้างผลตอบแทนให้เราอยู่ทุกๆ วินาที อย่างมีเหตุผลคือสร้างประโยชน์ในการดำรงชีวิตให้ผู้อื่นด้วย 

ซื้อเหรียญคริปโตเป็นการลงทุนไหม

คราวนี้ย้อนกลับมาที่การซื้อบรรดาเหรียญคลิปโตต่างๆว่ามีลักษณะดังกล่าวหรือไม่ เราจ่ายเงินเพื่อให้ได้เหรียญกลับมาแล้วมีสินทรัพย์อะไรที่มีเหรียญนั้นเป็นตัวแทนไหม มีที่ดิน โรงงาน ธุรกิจ ลูกค้าหรือเปล่า สิ่งที่ซื้อมานั้นทำเงินให้กับตัวมันเองได้หรือไม่ด้วยวิธีการใด สมมุติว่าเราถือเหรียญนั้นไว้แล้วยังไม่ขายออกไปทำนองเดียวกันกับที่เราถือหุ้นเอาไว้ในระยะเวลานาน เราจะมีผลตอบแทนเหมือนหุ้นที่จ่ายปันผลไหม ถ้าคำตอบต่อคำถามต่างๆ นี่คือ "ไม่" ก็คงเป็นการยากที่เราจะถือว่าการซื้อและขายเหรียญคลิปโตต่างๆ เป็นการลงทุน และที่ถูกต้องแล้วมันคือการเก็งกำไรนั่นเอง

แล้วการซื้อหุ้นล่ะลงทุนไหม

แต่อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังไว้ในบทอื่นว่าจริงๆ แล้วการซื้อหุ้นก็เป็นการเก็งกำไรอยู่ด้วยในระดับหนึ่งแต่เป็นการเก็งกำไรที่มีเหตุผล มีความน่าจะเป็นที่ดีรองรับ ยิ่งเราได้พิจารณาความแข็งแกร่งของธุรกิจและราคาหุ้นว่าต่ำกว่ามูลค่าของธุรกิจแล้ว ยิ่งทำให้ความเสี่ยงต่ำเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่จะได้รับ แต่ในทางกลับกันการเก็งกำไรโดยแท้จริงในการซื้อเหรียญคลิปโตต่างๆ ผู้จ่ายเงิน (สังเกตนะครับว่าผมพยายามหลีกเลี่ยงคำว่าผู้ลงทุนในกรณีนี้) จะต้องพิจารณาเองว่า มีความเสี่ยงระดับใดและควรเอาเงินจำนวนเท่าไหร่ลงไปคลุกคลีกับมัน เก็งกำไรแท้ๆ ก็ต้องเก็งขาดทุนแท้ๆ ด้วยเช่นกัน

หมายเหตุ

เมื่อพูดถึงเรื่องเงินดิจิตอลและระบบที่เกี่ยวข้องของมันแล้ว ประกอบไปด้วยหลายส่วน การลงทุนกับบางอย่างที่ถือว่าเป็นระบบที่ให้บริการนั้นอาจจะมีผลตอบแทนในรูปของค่าบริการต่างๆ เช่นนั้นเป็นคนละประเด็นกับการเก็งกำไรในราคาของเหรียญคริปโตต่างๆ และอาจจะเป็นการลงทุนที่น่าสนใจได้ครับ

วิกฤติช่วยเลือกหุ้น


ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีเพื่อนๆ นักลงทุนทุกท่าน  หลังจากที่ห่างหายไปนาน สิ่งแรกที่จะบอกกับเพื่อนๆ คือยังสบายดีอยู่ และตลอดเวลาที่หายไปเพียงเพราะมีงานประจำส่วนตัวที่ต้องดูแลด้วย และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็ยังถือหุ้นลงทุนเต็มพอร์ตอยู่เสมอไม่ได้หนีหายไปไหน 

ตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปลาย พศ. 2562 - ปัจจุบันคือกลางไตรมาสที่สองของ พ.ศ. 2565) เกือบทั้งโลกรวมถึงประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์หนักคือการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 ซึ่งดูจะมีความรุนแรงมากในช่วงแรกกระทั่งระบบสาธารณสุขของหลายประเทศรับไม่ไหว มาตรการต่างๆ ทั้งการป้องกัน การห้ามประชาชนออกจากบ้าน การจำกัดเวลาออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว) การจำกัดการใช้บริการร้านอาหาร รวมไปถึงการปิดประเทศ นั่นยังไม่พอยังมีมาตรการเพิ่มเติมในการส่งสินค้าระหว่างประเทศอีกด้วย นี่เรียกว่าเกือบเป็นการแช่แข็งธุรกิจและการทำงานเลยทีเดียว  ผลของการแพร่ระบาดนี้ทุกท่านคงทราบดีว่าทำให้ธุรกิจเล็กๆ จำนวนมากต้องปิดตัวลงไป

ด้านดัชนีตลาดหลักทรัพย์เองก็ปรับตัวลงจากกลางปี พ.ศ. 2562 ที่ประมาณ 1750 ลงต่ำถึง 1024.46 จุดเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563 (ปี 2022) ซึ่งจะสังเกตได้ว่า Covid-19 นั้นเริ่มแพร่ระบาดตั้งแต่ปี 2562 แล้ว จนถึงปัจจุบันแม้สถานการณ์เกี่ยวกับโรคดีขึ้นมากแต่ก็ยังไม่หมดไป ซ้ำยังเริ่มมีเหตุการณ์สู้รบกันระหว่างรัสเซียกับยูเครนเข้ามาอีก เรียกว่าพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกก็ว่าได้


Covid-19 มีผลทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
ตกต่ำลงมากในช่วง 10 ปีเลยก็ว่าได้

ทั้งหมดถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะต่อให้ Covid-19 จบลง หรือสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนจบลง ก็มีเรื่องอื่นเข้ามาเสมอแหละครับ ข้อเสียก็คือการลงทุนจะวูบวาบน่าหวาดเสียวสำหรับคนทั่วไป แต่กับนักลงทุนที่มองหลายมุมแล้ว อาจจะเป็นข้อดีก็ได้

ข้อดีของวิกฤติ

1. เป็นโอกาสได้ซื้อหุ้นในราคาต่ำ 
ข้อนี้เป็นข้อดีมากสำหรับผู้มีรายได้ประจำ แล้วค่อยๆ สะสมหุ้นไปเรื่อยๆ ในระยะยาว เป็นการออมที่ดีและมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดี  แต่ต้องไม่ลืมว่า ราคาต่ำ (low price) ที่ว่านี้ยังถูกหรือแพงกว่ามูลค่า (value) ของธุรกิจนั้น ต้องไปคำนวณอีกทีหนึ่งด้วย 

2. เป็นโอกาสได้เห็นความแข็งแกร่งของธุรกิจ
ในสภาพการณ์ที่เลวร้ายของเศรษฐกิจ หลายบริษัทอาจจะมียอดขายต่ำลง ในขณะที่บางบริษัทอาจจะมียอดขายสูงขึ้น ตัวเลขต่างๆ ทางบัญชีจากการดำเนินงานจะเปลี่ยนแปลงไปมาก ที่สำคัญมากคือรายได้ว่าลดลงหรือเพิ่มขึ้นมากหรือน้อยแค่ไหน สามารถควบคุมรายจ่ายได้สัมพันธ์กับรายได้หรือไม่ ค่าเสื่อมราคาที่ไม่ได้ลดลงไปตามรายได้แน่ๆ เหลือภาษีจ่ายเท่าไร สุดท้ายคือธุรกิจเหลือกำไรเท่าไร ในยุคแห่งวิกฤตินี่ล่ะที่เราจะเห็นได้จริงๆ

ซื้ออะไร

มีจุดน่าสังเกตว่าเราควรมองธุรกิจอะไรในการลงทุน ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้นะครับ 

1. ประเภทอุตสาหกรรม 
ในช่วงวิกฤติอาจจะมีบางอุตสาหกรรมที่ได้ผลประโยชน์ก็ได้ เช่น วิกฤติทางสุขภาพ ก็มีผู้ให้บริการทางการแพทย์ได้ประโยชน์ ในทางกลับกัน ธุรกิจกลุ่มประกันภัยที่รับประกันแก่ผู้ป่วย (เช่น กรณี Covid-19) อุตสาหกรรมท่องเที่ยว อาหาร การบิน ได้รับผลกระทบไปด้วยแน่นอน ในขณะที่กลุ่มของแต่งบ้าน ลอจิสติกส์ อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับการส่งของให้ผู้คนตามบ้าน กลับไม่ได้รับผลกระทบมากนัก 

2. บริษัทที่ยังคงได้กำไรจากผลประกอบการ
หลายอุตสาหกรรมมีค่าใช้จ่ายคงตัวต่ำ เมื่อรายได้ต่ำลง ค่าใช้จ่ายรวมก็ต่ำลงมากด้วย ก็เพราะค่าใช้จ่ายคงตัวต่ำนั่นเอง และนั่นมักแสดงถึงการมีหนี้สินน้อยด้วย (ดอกเบี้ยจ่ายไม่เคยรอใคร) ในช่วงวิกฤตินี้ถ้าดูว่ายอดขายลดลงแล้วยังมีกำไรได้ ในขณะที่ราคาหุ้นลดต่ำลงมาจน P/E เหลือ 10-12 ก็น่าสนใจเข้าไปดูนะครับ 

3. บริษัทที่ขาดทุน แต่ไม่มากนัก
ถ้าจะไม่มองบริษัทที่ขาดทุนเลยก็คงไม่ครบถ้วน ในวิกฤติที่เห็นชัดเจนว่าบางบริษัทได้รับผลกระทบรุนแรงมาก ยอดขายตกต่ำเป็นเท่าตัว แต่กลับขาดทุนเพียงเล็กน้อย ถ้าบริษัทเหล่านั้นเคยมีผลกำไรที่ดีในช่วงเวลาปกติ และเห็นว่าการขาดทุนเป็นผลเพียงชั่วคราว ราคาหุ้นต่ำลงกว่าปกติมาก ทำให้มีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยมากขึ้น (เมื่อเทียบกับราคาเหมาะสมของหุ้นที่คำนวณจากมูลค่าของบริษัท) ก็ยังน่าพิจารณาว่าควรลงทุนหรือไม่

4. ระวังเรื่องการเปลี่ยนพื้นฐาน 
บางวิกฤตินั้นอาจจะตามมาด้วยการเปลี่ยนพื้นฐานของธุรกิจไปได้เลย การเปลี่ยนพื้นฐานอาจจะเกิดได้สองส่วนใหญ่ๆ อย่างแรกคือ การขาดทุนที่ทำให้หนี้สินเพิ่มพูนเกิดขาดทุนสะสมจำนวนมากจนไม่สามารถชดใช้ได้ แม้บริษัทเหล่านี้จะกลับมาดำเนินงานตามปกติก็คงใช้เวลานานมากกว่าที่จะทำกำไรใช้หนี้สินจนหมด จะมีวิธีลัดมากขึ้นเช่นการเพิ่มทุนเพื่อล้างขาดทุนสะสมเพื่อให้กลับมาดำเนินงานได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้งหนึ่ง (แต่ก็ตามมาด้วย dilution effect คือจำนวนหุ้นมากขึ้น กำไรต่อหุ้นน้อยลง) หรือบางอุตสาหกรรมอาจจะเปลี่ยนพื้นฐานไปในทางที่ดีเช่น ระบบบริการการำงานจากบ้าน ต่างๆ หรือระบบลอจิสติกส์ ก็เป็นไปได้ 

ซื้อตอนไหน

ในช่วงวิกฤติจริงๆ นั้นคงเป็นเวลที่ไม่ดีเท่าไรในการเข้าไปซื้อหุ้น เพราะแม้จะราคาต่ำแล้วก็ยังมีต่ำกว่านั่นแล เหมือนเรือในมหาสมุทรที่เมื่อระดับน้ำลดต่ำลง เรือก็ต้องลอยต่ำลงไปด้วย ปกติแล้วเราจะเริ่มทยอยซื้อหุ้นตอนกำลังจะออกจากวิกฤติ ถ้าถาว่าทำไมไม่ซื้อตอนออกมาแล้ว ก็เพราะราคาหุ้นมักจะปรับตัวไปแล้ว (ราคามักวิ่งนำหน้าอนาคต) นั่นเอง 

ซื้อตอนนี้ทันไหม 

ณ วันนี้คือตลาดปิดทำการวันที่ 27 พฤษภาคม 2565 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 1638.75 จุด ถ้าดูเผินๆ ก็คือดัชนีขึ้นมาพอสมควรแล้ว แต่ถ้าเราไม่ได้ลงทุนกับกองทุนที่อิงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ยังมีหุ้นของหลายบริษัทที่ยังไม่ปรับตัวขึ้นมา (เรียกว่าหุ้น laggard คือช้าอืดอาดกว่าคนอื่น) ให้ลงทุนได้ ต้องลองเลือกดูเพราะมีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจริงๆ ครับ


แม้เรากำลังจะรอดพ้นจากวิกฤติ Covid-19
ดัชนีปรับตัวขึ้นมาพอสมควร แต่ยังมีหุ้นของ
บริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตให้เราลงทุนเสมอ

เครดิตภาพประกอบ: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ทดลองทำ

ลองกลับไปดูข้อมูลย้อนหลังในอดีตว่า ในวิกฤติต่างๆ ที่ผ่านมา เช่น ต้มยำกุ้ง (พ.ศ. 2540)  ซับไพรม์ (พ.ศ. 2550)  ไวรัสโควิด (พ.ศ. 2562) บริษัทที่เราสนใจได้รับผลกระทบมากหรือน้อยอย่างไร โดยดูว่ายังคงได้กำไรหรือไม่หรือถึงกับขาดทุน หรือแย่กว่านั้นคือต้องเพิ่มทุนเพื่อเอาตัวรอด)  ลองเลือกออกมาให้ได้สัก 5-10 บริษัท  ในการนี้ลองสังเกตราคาหุ้นของบริษัทที่เราสนใจว่าขึ้นหรือลงในช่วงนั้น และเทียบกับปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้จะเป็นข้อมูลที่สร้างประสบการณ์ให้เราได้เคยเห็นแล้วนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจในอนาคตได้

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

มาลงทุนกันต่อในปี 2562


สวัสดีเพื่อนนักลงทุนทุกท่านนะครับ หายหน้าหายตากันไปนานนับเวลาแล้วน่าจะปีกว่าๆ เลยทีเดียว หลายคนคงจะต้องผ่านช่วงเวลาที่ค่อนข้างยากลำบากมากในตลาดหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเก่งกำไรในตัวหุ้นที่คาดหวังกับการลงทุนระยะสั้นระยะเวลาที่ผ่านมาไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะสามารถทำกำไรระยะสั้นได้ง่าย ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลงจาก 1,852.51 จุดเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 ลงยาวๆ มีวูบวาบบ้างตลอดมาจนถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2561 ที่ 1,546.62 จุดหรือปรับลงมา 16.5% ซึ่งนับว่าหนักหนามากสำหรับนักลงทุนส่วนมาก (ในขณะที่นักลงทุนแบบ VI ก็ได้รับผลกระทบ แต่จะว่าไปเราไม่ได้ตกใจเท่าไรนัก)

โดยส่วนตัวแล้ว กับช่วงที่ผ่านมา “ผมยังคงมีหุ้นเต็มพอร์ต” เสมอ อาจจะปรับขยับตำแหน่งบ้างนานๆ ครั้งแต่ก็น้อยมาก ช่วงก่อนที่หุ้นจะปรับตัวลงยาว ผมก็ขายทำกำไรบางส่วนออกไป เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจอื่น จัดการถ่ายเอาเงินลงทุนออกไป ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงทั้งหมดเป็นส่วนของกำไรเท่านั้น

หุ้นกับสภาพเศรษฐกิจ

ทุกครั้งที่ตัวเอง ถูกถามด้วยคำถามนี้ หรือ ถามตัวเองด้วยคำถามนี้ก็ตาม ต้องมี “ประโยคบอกเล่า” ตามมาอีกหนึ่งประโยคคือ “เราไม่ควรคาดการณ์เศรษฐกิจ  เพราะอะไร เพราะเราไม่รู้จริงๆ หรอกว่ามันจะไปในทิศทางไหน  ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกของระบบเศรษฐกิจเอง ในประเทศ ก็เช่น การบริหารงานของรัฐบาล หรือภายนอกประเทศก็เช่น นโยบายแปลกๆ ของผู้นำประเทศใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อประเทศอื่น ล่าสุด ก่อนหน้านี้ สองสามเดือน โดนัล ทรั้มพ์ ก็ทำท่าตั้งแง่มีปัญหากับจีน จีนเองก็ตอบโต้แต่ดูเหมือนจะสุขุมกว่า ทำไปทำมาไม่นาน ก็พูดคุยตกลงกันรู้เรื่องเรียบร้อย (ผมคาดเรื่องนี้ไว้แล้ว ว่าไม่มีอะไรน่าห่วงมาก เศรษฐกิจของทั้งคู่เกี่ยวกันอยู่แล้ว และถ้ามีปัญหาจริงๆ คนต้นเหตุดูจะเดือดร้อนกว่าเสียด้วยซ้ำ เลยเลิกเหตุก่อนคงเป็นการฉลาดที่สุด)

ออกนอกเรื่องไปไกล กลับมาตรงคำว่า เราไม่ควรคาดการณ์เศรษฐกิจ ก็เพราะว่ามันคาดการณ์ไม่ได้  ในเรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่าให้เราอยู่เฉยๆ ไม่ต้องสนใจไม่ต้องทำอะไรเลย  แต่เป็นการบอกโดยทางอ้อมว่าเราจะต้องเลือกลงทุนในธุรกิจที่ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจให้น้อย  แม่รู้ธุรกิจแทบทั้งหมดมันก็ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจด้วยมันก็ขึ้นอยู่มากน้อยไม่เท่ากัน  ถ้าเราจะลงทุนกับธุรกิจที่ไม่ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจเลย ส่วนใหญ่แล้วธุรกิจอย่างนี้จะเติบโตไม่มากนักแต่ก็ค่อนข้างปลอดภัยในการลงทุน ถ้าเราซื้อมาได้ในราคาที่ถูกผิดปกติยิ่งปลอดภัยเพิ่มขึ้น เรียกว่ามีส่วนเพื่อเพื่อความปลอดภัยสูงขึ้น  การลงทุนกับธุรกิจที่ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจมากขึ้นก็ค่อนข้างหวือหวาขึ้น ถ้าโชคดีจังหวะถูกต้องก็ได้รับผลกำไรจากการลงทุนค่อนข้างมาก  ดังนั้นสำหรับนักลงทุนแล้วคงมีคำแนะนำทั่วไปว่าเราสามารถจัดพอร์ตการลงทุนในธุรกิจที่ขึ้นกับสภาพเศรษฐกิจมากน้อยต่างกันได้

เวลานี้สภาพเศรษฐกิจเป็นเช่นไร

เรื่องของภาพรวมเศรษฐกิจแบบทั่วๆ ไป เพื่อนๆ นักลงทุนคงสามารถหาอ่านได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือบทวิเคราะห์ทั่วไปอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็นคือ โดยความจริงแล้ว สิ่งที่รัฐบาล (ของประเทศใดๆ) ควรทำเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจคือ การสร้างรากฐาน เตรียมสิ่งจำเป็น ส่งเสริมให้ประชาชนสร้าง “มูลค่าเพิ่ม” ให้ได้มากและมากขึ้นๆ   มูลค่าเพิ่มเหล่านี้จะมาจาก การคิด ผลิต สิ่งใหม่ๆ เพื่อใช้เองภายในประเทศ ค้าขาย ส่งออก กระตุ้นให้ทุกคนทำงานสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งเสริมการใช้จ่ายจากมูลค่าเพิ่มที่ทุกคนสร้างขึ้นมา เศรษฐกิจก็จะหมุนเวียนเติบโต รัฐจะเก็บภาษีได้มากขึ้น “บนความสุขของประชาชน” (เงินเฟ้อจะตามมา แต่ ผลกำไรส่วนบุคคลจะเติบโตไปก่อนหน้า)  แต่ตราบใดที่เรายังไม่เห็นสัญญาณของการทำงานของภาคประชาชนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มดังกล่าว ในมุมมองของผมแล้ว เราจะบอกว่าเศรษฐกิจดี ไม่ได้

แล้วลงทุนอย่างไรในปี 2562

ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ที่ “บรรยากาศการสร้างมูลค่าเพิ่ม (คือ คนอยากทำ ทำแล้ว คนซื้อซื้อง่าย คนขายขายคล่อง) ยังไม่มีทีท่าจะสดใส เราคงต้องระวังในการลงทุน
1) ปรับพอร์ตถือเงินสดเพิ่มบ้าง
2) เปลี่ยนมาถือหุ้นที่เป็น defensive stock เพิ่มมากขึ้น
3) วางแผนการเงินส่วนบุคคลให้ดี (รายได้ มากกว่า รายจ่าย)
4) มีรายได้หลายทาง

เมื่อถึงเวลาสมควร ก็ขยับปรับเปลี่ยนการลงทุนต่อไปตามสภาพครับ
หายไปนาน กลับมาแล้วเลยคุยยาวหน่อย  แล้วผมจะกลับมาคุยด้วยบ่อยขึ้นนะครับ

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ขวัญหนีดีฝ่อ (ประสาทแตก)


สวัสดีครับเพื่อนๆ นักลงทุนทุกท่าน ดูเหมือนหายไปนานจนหลายคนสงสัยว่าผมยังเป็นนักลงทุนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์หรือเปล่าหรือว่าขายหุ้นหนี้ หรือเจ๊งไปหมดแล้ว คำตอบก็คือยังคงเป็นนักลงทุนอาชีพอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เหมือนเช่นเดิมนะครับแถมยังถือหุ้นอยู่เป็นปกติด้วย เพียงแต่ที่หายไปนานเนื่องจากภารกิจเกี่ยวกับธุรกิจส่วนตัวที่ดูแลอยู่หลายอย่างซึ่งมีสิ่งที่จะต้องดูแลมากก็เลยอาจจะไม่ค่อยมีเวลาเขียนถึงเพื่อนๆ มากนัก

อย่างที่ผมเขียนไว้ตั้งแต่ต้นปีนี้ว่า จากสภาพเศรษฐกิจที่เห็นในฐานะของคนที่ประกอบธุรกิจไปด้วย มีความเห็น (เน้น ว่าแค่ความเห็น ในเชิงเปรียบเทียบกับที่ผ่านมาด้วยประสบการณ์) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ไม่น่าจะทำตัวสูงเกิน 1700 ไปได้  การกระเพื่อมขึ้นลงที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรตามปกติเท่านั้นเอง เพราะนอกจากมีนักลงทุนที่สั่งซื้อขายหุ้นหรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินอื่นด้วยตัวเองแล้ว ในปัจจุบันก็ยังมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่ช่วยในการทำอย่างนั้นทำให้การกระเพื่อมหรือขึ้นลงของราคาหุ้นเป็นไปอย่างรุนแรง รวดเร็ว และคาดเดาได้ยากยิ่งขึ้น (ปกติผมเองก็ไม่ได้คาดเดาอะไรอยู่แล้ว)

สถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ช่วงที่ผ่านมาสองสามเดือนดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ไทยเรียกไปว่าร่วงกราวรูดจนกระทั่งนักลงทุนหลายท่านที่เป็นที่รู้จักกันดีหรือแม้แต่เรียกว่าวีไอทั้งหลายถึงกับออกมาโอดครวญ บางท่านดูออกแนวเสียความมั่นใจ (ไม่อยากเรียกว่า สติแตก ลืมหลักการลงทุน) ไปเลยก็มี ทำให้เราต้องย้อนกลับไปถึงเป้าหมายในการลงทุนของตัวเราเสียก่อนว่าเรามองตลาดหลักทรัพย์อย่างไร เราเห็นการลงทุนเป็นสิ่งที่เราทำแล้วเราต้องการอะไรกันแน่ มันอยู่ที่ใจของเรา อย่าสนใจเรื่องหรือคนประสาทแตกมากนัก ของแบบนี้เป็นโรคติดต่อ เราอยู่ตรงไหนเราก็จะเป็นแบบนั้น มาสนใจตัดสินใจว่าเราจะทำอะไร เมื่อไร ดีกว่า

แน่นอนว่าถ้าเราตั้งเป้าหมายไว้ว่า ต้องการกำไรมากที่สุด เก่งกว่าคนอื่นที่สุด รวยที่สุด ไม่ผิดพลาดเลย ถ้าเราตั้งเป้าหมายอย่างนี้แล้วโอกาสที่จะสมหวังย่อมมีไม่มากนัก (มันเป็น ตรรกศาสตร์แบบ "และ" แถมยังมีสิ่งควบคุมไม่ได้อีกมาก) และที่สำคัญก็คือในทุกวันเวลาที่ผ่านไปเราก็จะไม่มีความสุข นอนไม่หลับ ไม่เป็นสุข สุดท้ายโรคภัยถามหา โรคประสาทกิน คุยกับใครก็หงุดหงิด ถ้าเป็นแบบนี้ผมว่าไม่ค่อยถูกเรื่องเท่าไรแล้ว จึงอยากให้มองย้อนกลับไปสมัยที่เราหรือแม้กระทั่งบุคคลเหล่านั้นยังไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทองอะไรวันนั้นเราคิดอะไรล่ะ

เราลงทุนก็เพื่อความสุข เราลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อให้มีผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนอื่น เราซื้อบริษัทที่มั่นคงกว่าบริษัทของเราเอง แถมแบ่งซื้อได้หลายบริษัท แน่นอนการลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์มีความเสี่ยงอยู่ แต่มันมากกว่าทำเองไหมล่ะ คุ้มกับการลงทุนไหม แค่ไหน  การลงทุนก็ยังมีหลายวิธีอีกไม่ว่าจะเป็นการดูราคาจังหวะเวลาปริมาณการซื้อขายที่เรียกว่าแนวเทคนิคอล (technical) หรือการลงทุนในแนวพื้นฐาน (fundamental) หรือการลงทุนที่ประยุกต์จากแนวพื้นฐานออกมาที่เรียกว่าวีไอ (VI - Value Investing) ก็มีข้อดีและคนด้อยต่างกัน แนวเทคนิคอลนั้นก็เหมือนกับการที่เราเรียนหนังสือแล้วตัดเกรดแบบ “อิงกลุ่ม” ในขณะที่แนววีไอนั้นผมอยากเปรียบเทียบไปแล้วก็คงเหมือนการเรียนหนังสือแล้วตัดเกรดแบบ “อิงเกณฑ์” มากกว่า

ทางเลือกและความเสี่ยง

การลงทุนในแนววีไอนั้นมีข้อดีตรงที่ว่าเราสามารถบอกได้ว่าราคาของหุ้นของบริษัทใบที่เราเห็นอยู่นั้นมีราคาที่น่าจะแพงเกินไปหรือถูกผิดปกติทำให้เราสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นโดยตัดอารมณ์ของราคาที่แกว่งไปมาออกไปได้นั่นเอง

ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่านักลงทุนแนววีไอจะไม่ขาดขาดทุนแน่นอน เพราะถ้าเรามองธุรกิจหรือโอกาสของตัวของธุรกิจผิดไปเราย่อมมีโอกาสขาดทุน แต่เรื่องนี้ต้องแยกออกจากเรื่องการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นตามปกติ คำว่าตามปกตินี้หมายความได้ทั้งการแกว่งในระยะสั้นอย่างรวดเร็วหรือแนวโน้มของการแกว่งที่มีระยะเวลานานขึ้นอันเกิดจากการซื้อขายของนักลงทุนบางกลุ่ม (เช่น กองทุน ต่างชาติ) แม้ว่าเราจะมองเห็นหรือคำนวณเห็นว่าราคาปัจจุบันของหุ้นตัวหนึ่งหนึ่งถูกมากแล้ว ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่ราคาจะลดลงไปอีก ทั้งนี้ก็เนื่องจากอารมณ์ของตลาดอารมณ์ของบุคคลในตลาดและสภาพแวดล้อมต่างๆซึ่งส่วนมากแล้วไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพื้นฐานของบริษัท สิ่งที่เราทำได้ก็คือเมื่อราคาหุ้นขึ้นเราจะทำอย่างไรเมื่อราคาหุ้นลดลงเราจะทำอย่างไรกับหุ้นตัวนั้นๆ ที่เราถืออยู่ ทั้งหมดทั้งสิ้นก็ต้องดูด้วยว่าตัวเราเองมีเวลาเท่าไร  เราขายหุ้นทิ้งไปก่อนแล้วเราจะซื้อกลับทันไหม หรือถ้าเรากระโดดซื้อตามในจังหวะหุ้นขึ้นเราจะขายตัดขาดทุนออกมาทันหรือเปล่า ก็ต้องขึ้นกับนิสัยของราคาหุ้นนั้นนั้นด้วยเช่นกัน

โดยสรุป

ทั้งหมดที่เล่ามาวันนี้ก็คือหลักการลงทุนแบบวีไอ ก็คือการที่เราบอกได้ว่าราคาของหุ้นของบริษัทหนึ่งที่เหมาะสมในวันนี้หรืออนาคตควรจะเป็นเท่าไร จะต้องมี "กรอบเวลา" ประกอบด้วย ความแม่นยำก็ขึ้นอยู่กับความชำนาญของการเป็นนักลงทุนของเราเอง อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่านักลงทุนแนววีไอจะได้กำไรทุกครั้งในทุกวินาทีที่ลงทุน บางทีเราอาจจะขาดทุนในพอร์ตบ้าง บางครั้งเราขาดทุนจริงๆ ก็มี  แต่โอกาสที่เราจะ ขาดทุนน่าจะมีน้อยครั้งกว่าโอกาสที่เราจะได้กำไร และเมื่อเราเสียหายหรือขาดทุนเข้าจริงๆ เราก็น่าจะขาดทุนน้อยกว่าเมื่อเราได้กำไร  เพียงแค่นั้นก็ดีมากแล้วไม่ใช่หรือ

ความโลภทำลายทุกสิ่ง อย่าตั้งความหวังว่า "ที่สุด" เดี๋ยวประสาทแตกเสียก่อน มีเงินก็ไร้ประโยชน์ นะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

หุ้นลงจนงง ทำอย่างไรต่อดี


สวัสดีครับเพื่อนๆ นักลงทุน หุ้นปรับตัวลงมาเยอะมากในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้  พร้อมกับข่าวคราวสารพัดระดับมหภาคเข้ามา เช่น การเพิ่มดอกเบี้ย การหยุดมาตรการ QE สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ล้วนมาหลังหุ้นตกแล้วเป็นส่วนใหญ่  แต่สำหรับผมที่มีธุรกิจส่วนตัวอยู่ด้วยแล้ว เราเห็นตลอดเวลาว่าบรรยากาศการค้าขายเป็นอย่างไร  หุ้นที่ขึ้นไปในระดับ 1,800 จุดทำให้ P/E ของตลาดพุ่งสูงเกินไป สุดท้ายก็คงต้องปรับตัวลงมา เป็นสิ่งที่พอจะคาดเดาได้อยู่แล้ว ข่าวต่างๆ นั้นมาทีหลัง ตามเคยแหละครับ

แล้วทำไงต่อ

ถ้าถามผมว่า หุ้นจะลงต่อไหม (หมายถึงดัชนี) ผมไม่ทราบหรอกครับ แต่ถ้าเราเหลียวมองหุ้นของบริษัทดีๆ ขนาดใหญ่ๆ ที่ลดราคาลงมามาก มีหลายบริษัทเริ่มน่าสนใจ P/E ไม่เกิน 12 จ่ายปันผลสม่ำเสมอไม่น้อยกว่า 5% (ดีกว่าดอกเบี้ยธนาคารตั้งหลายเท่า) หรือบริษัทที่เล็กกว่าแต่มีอนาคตและถูกกว่านั้นก็มีให้เลือกอีก

ซื้ออย่างไร

เวลานี้ หุ้นลงมา แล้วขยับขึ้น มันจะ sideway ก่อน ก่อนที่จะขยับขึ้นจริงๆ จังๆ (ธรรมชาติมีกเป็นแบบนั้น) หลายคนยังคงกังวลกับข่าวต่างๆ เช่น สงครามการค้า ซึ่งโดนส่วนตัวแล้วผมรู้สึกเฉยๆ เพราะทุกคน (ประเทศ) ก็ต้องปรับตัวไปจนได้  และแน่นอน หุ้นมีขึ้นลงของมัน ไม่ด้วยข่าวนี้ ก็ด้วยข่าวนั้น เสมอ สุดท้าย ธุรกิจก็เติบโตไปตามพื้นฐานของมัน สำคัญที่สุด ไม่มีประเทศไหนอยู่ได้ด้วยตัวเอง คนที่พยายามอยู่เองก็ ล้าหลัง ยากลำบาก  อย่างฟากสหรัฐอเมริกา ประธานาธิปดีทรัมป์ พื้นฐานเป็นนักต่อรองตัวยง ตอนนี้แต่ละข้างแค่พยายามเอาของที่มีมาขู่อีกข้างหนึ่งเท่านั้นเอง ที่แน่ๆ คือ ทั้งสองข้าง ไม่ยอมเป็นฝ่าย lose ทั้งในผลแบบ lose-lose และ lose-win แน่นอนครับ เพียงแต่ win-win นั่น ใครจะ win มาก หรือ win น้อย เท่านั้นเอง

หุ้นลงมาแล้วพอสมควร ผมไม่ได้บอกว่ามันจะหยุดลงนะครับ เพราะผมไม่รู้หรอกครับ แต่มีหุ้นพื้นฐานดีๆ จำนวนมากที่ลดราคาลงมามาก จนมีอัตราเงินปันผล 5% ขึ้นไป  ทำให้น่าสนใจเพราะ เมื่อดัชนีกลับขึ้นไป หุ้นเหล่านี้ก็น่าจะปรับราคากลับขึ้นไปด้วย  ส่วนหุ้นที่ ตลอดเวลาที่ดัชนีขยับลงมาร้อยกว่าจุดอย่างนี้แต่ไม่ขยับลงมาเลย แบบนี้เวลาดัชนีขึ้นก็คงไม่ค่อยขึ้นไปไหนต่อ แน่นอนว่าทั้งสองอย่างนั้นมีข้อยกเว้นและไม่สามารถคาดเดาได้อย่างแม่นยำนะครับ ดังนั้นเราก็ต้องเลือกหุ้นให้ดีที่สุด และวางแผนจัดการ ความเสี่ยงให้ดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2561

หุ้นกับฟุตบอลโลก


* ทีแรกตั้งใจว่าจะเขียนส่วนนี้ไว้ตอนท้ายแต่ไม่แน่ใจว่าเพื่อนเพื่อนนักลงทุนจะฟังผมคุยเรื่องฟุตบอลโลกนานเกินไปจนไม่ได้อ่านหรือเปล่าก็เลยนำมาไว้ด้านหน้าแทนนะครับ  กลับคราวที่แล้วที่ผมเขียนเอาไว้ว่าในช่วงเดือนพฤษภาคมมักจะเป็นช่วงเดือนที่ดัชนีและหุ้นมีโอกาสปรับราคาลง จะเป็นโอกาสที่ทำให้เราลงทุนได้ ความเป็นจริงผมก็ไม่คิดว่าจะลงมากขนาดนี้ (มีการ forced sell ผสมด้วย) อย่างไรก็ตามผมมองเพียงเป็นการปรับฐานใหญ่ซึ่งเมื่อหุ้นขึ้นมามากย่อมต้องมีคนขายทำกำไรบ้าง ดังนั้นก็ขอให้นักลงทุนที่ลงทุนระยะกลางขึ้นไปอย่าตกใจนัก ผมยังคงให้กำลังใจเพื่อนๆ และให้หาโอกาสในการลงทุนเลือกลงทุนเป็น รายบริษัทต่อไปนะครับ *

กลับมาเข้าเรื่องของเราดีกว่า ที่จริงหัวข้อเรื่องนี้น่าจะตั้งเป็นประมาณว่า หุ้นกับกีฬา มากกว่า แต่บังเอิญว่าช่วงนี้เป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกเลยตั้งชื่อให้เข้ากับบรรยากาศสักหน่อย เท่านั้นเองครับ 

แต่จะว่ากันจริๆง แล้วก็ไม่เกี่ยวกับฟุตบอลโดยเฉพาะเท่านั้น แต่อยากจะพูดถึงการลงทุนโดยทั่วๆ ไปเมื่อเทียบกับสิ่งที่มีประโยชน์กับเราทุกคนก็คือการกีฬา ไม่ว่าจะเป็นการกีฬาประเภทไหนก็ตามนะครับ เรารู้อยู่แล้วว่ากีฬานั้นมีประโยชน์แต่ทั้งทั้งที่มีประโยชน์มันก็มีโทษแฝงอยู่ในตัวมันเอง ทั้งโทษที่เป็นเรื่องจริงๆเช่นการออกกำลังที่มากเกินไปเป็นอันตรายกับสุขภาพรวมไปถึงกีฬาบางอย่างที่เป็นอันตรายด้วยตัวมันเองเช่นการปีนเขา กระโดดตึก กระโดดสะพานต่างๆ (ฟังดูน่ากลัวเนอะ) เป็นต้น  แต่แม้ว่าจะเป็นที่ทราบกันดีว่ากีฬานั้นมีประโยชน์ทุกคนเราก็ยังหาเรื่องเอามาเป็นโทษจนได้นั่นแหละ  ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเอามาเป็นการพนันซึ่งเป็นโทษแน่นอน  อาจจะมีบางคนที่ได้ประโยชน์คือได้เงิน กินเงินคนอื่น แต่นั่นก็คือคุณกำลังทำบาปคือเริ่มตั้งแต่มีเจตนาเองของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ก็บาปโดยไม่รู้ตัวกันไป ส่วนคนที่เสียงเงินนั้นไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้วเป็นทุกข์ คนที่ได้ก็ใช่ว่าจะได้เสมอไป บางครั้งก็เสียเหมือนกัน สุดท้ายคนรับแทง (เจ้าของบ่อน) รวย ทำดีไม่ดีคนเล่นเองมีเอี่ยวด้วย ถ้าไม่โดนจับได้ก็รับส่วนแบ่งกันไปเจ้ามือสบายแฮล่ะจ้า

บ่นมากไปเราก็เลยจะออกนอกเรื่องมาก เพียงอยากจะแสดงความคิดเห็นแบ่งปันให้ฟังกันว่าหลายๆ วันที่ผ่านมานี้ได้คุยกับเพื่อนนักลงทุนหลายกลุ่ม แต่อย่างไรก็ไม่ทราบได้พาลไปนึกถึงเรื่องของฟุตบอลโลกที่มีการแข่งขันอยู่พอดี ระหว่างกันคุยเรื่องการลงทุนเราก็พูดถึง "เจ้ามือ" ซึ่งมีคำที่นักลงทุนรุ่นเก่าพูดเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “สิ่งใดก็ตามที่เคลื่อนไหวได้สิ่งนั้นมีเจ้าสิงอยู่” ซึ่งก็เป็นความเชื่อที่มาจากคนบางเผ่าในทวีปแอฟริกา  ดังนั้นราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวขึ้นลงได้ก็เหมือนกับพี่เจ้าสิงอยู่เช่นกัน (ฮา..) เจ้า ที่ว่านี้ก็อาจจะเป็นคน ที่มีทั้งหุ้นทั้งเงินเยอะ และ/หรือ เป็นเราๆ ท่านๆ รายยิบย่อยที่เฮโลสาระพากันไปในทิศทางเดียวกันในเวลาใดเวลาหนึ่งนั่นเอง ทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นลงไปมากๆ และอาจจะเข้าข่ายผิดปกติ

ถ้าเรามองให้ดีเราก็จะเห็นว่าการลงทุนผ่านการซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงินใดๆ ในตลาดหลักทรัพย์ก็เหมือน เกม กีฬา แหละครับ คือมีทั้ง เจ้าของทีม  สปอนเซอร์  นักกีฬา  คนแทง  เจ้ามือรับแทง ถ้าเราเลือกได้ (ซึ่งเราก็เลือกได้นั่นแหละ ใครจะมาบังคับได้) เราจะเป็นอะไรในนั้นล่ะ หลายคนในตลาดอยากเป็นคนแทง ก็อาจจะโดนเจ้าของทีม (ที่ไม่ดี) กับเจ้ามือเล่นซะ อีกพวกคือ สปอนเซอร์ หวังได้การโฆษณา ได้ขายสินค้าบริการของตัวเอง ทำกำไร เป็นห่วงโซ่กันไป

ส่วนตัวผมถ้าเลือกได้ ผมคงเลือกเป็นเจ้าของทีม เพราะคอยรับผลประโยชน์ต่างๆ นาๆ ซื้อขายนักกีฬา รับเงินค่าสปอนเซอร์  รับรางวัล  ขายสิทธิต่างๆ แต่เจ้าของนี่เจ๊งก็มีนะ เพียงแต่เราได้เปรียบกว่าคือ เป็นเจ้าของได้หลายทีมและหนี (exit) ได้ง่ายกว่าด้วย

เราเลือกได้ในเกมที่เราถนัดและไม่เสียเปรียบ สุดท้ายเจ้ามือที่แท้จริงก็คือผลประกอบการของธุรกิจนั้นๆ นั่นแหละครับ

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เดือนแห่งโอกาสและความกลัว

สวัสดีครับเพื่อนๆ นักลงทุนทุกท่าน เป็นอย่างไรบ้างครับในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้นี่ก็เรียกได้ว่าเกือบครึ่งปีเข้าไปแล้ว จากช่วงต้นปีที่ผมเคยประเมินไว้ว่าตามพื้นฐานแล้วทั้งปีนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยก็คงจะแกว่งตัวอยู่ในช่วง 1700 ถึง 1800 จุด มีอยู่บางช่วงที่ดูเหมือนจะดีดตัวขึ้นด้านบนเกินเลยไปบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา อย่างไรก็ตามถ้าสังเกตตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงบัดนี้จะเห็นได้ว่านักลงทุนชาวต่างชาติทยอยขายหุ้นไทยออกมาเป็นจำนวนมาก หลายโอกาสที่ดัชนีถูกดันกลับขึ้นไปก็เป็นเพราะกองทุนไทยบ้าง รายย่อยบ้าง และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ที่ช่วยกันซื้อดันกลับขึ้นไป แต่ดูเหมือนว่านักลงทุนต่างชาติก็ยังตั้งใจที่จะขายหุ้นไทยอย่างเป็นจริงเป็นจัง  ว่ากันจริงๆแล้วถ้าดูตามพื้นฐานของเศรษฐกิจโดยรวมโดยไม่นำเอาภาคการส่งออกเข้ามาพิจารณาเป็นนัยยะที่สำคัญมากนัก จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจโดยทั่วไปนั้นค่อนข้างฝืดเคือง สิ่งที่สะท้อนให้เห็นค่อนข้างชัดเจนคือกำไรของบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ค่าอัตราส่วนระหว่างราคาต่อผลกำไรต่อปี (P/E ratio) โดยเฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีค่าสูงขึ้นหรือพูดง่ายๆ ได้ว่าหุ้นไทยมีราคาแพงเกินไปนั่นเอง การที่ P/E ratio จะลดลงได้จนน่าสนใจก็ต้องเพราะราคาหุ้นลดต่ำลงนั่นเอง

โดยส่วนตัวแล้ว (เน้น ว่าอาจจะคิดผิดได้นะครับ) ผมคิดว่าส่วนหนึ่งที่เป็นไปได้ที่ทำให้ราคาของหุ้นไทยเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมาหรือที่ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์สูงขึ้นในเวลาที่ผ่านมาก็คือความคาดหวังเกี่ยวกับการเลือกตั้งถ้ามองดูในเรื่องนี้อาจจะตีความหรือวิเคราะห์ได้ว่าถึงเวลานี้ถ้ามีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริง ก็อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ต้องขายเมื่อข่าวเป็นจริงหรือ sell on fact ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงแค่ไหนเหมือนกัน มาถึงช่วงเวลานี้อาจจะเป็นได้ว่าเพราะนักลงทุนต่างชาติเบื่อกับการรอคอยต่อไปก็เป็นไปได้ ถึงเวลาที่มีโอกาสในการลงทุนที่ดีกว่ารวมทั้งในสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ บางแนวคิดอาจจะแนะนำให้ขายสินทรัพย์เสี่ยงออกไปก่อนก็ได้

แล้วช่วงเวลาอย่างนี้สมควรจะทำอย่างไรดี

ก็ขึ้นอยู่กับว่านักลงทุนแต่ละท่านนั้นมีสถานะการลงทุนเป็นอย่างไรมีหุ้นอยู่หรือไม่แค่ไหนเป็นการลงทุนระยะยาวหรือระยะสั้นมีรายได้จากที่อื่นเพียงใดถือหุ้นอะไรอยู่หุ้นของแต่ละท่านที่ถือไว้น้ำถูกหรือแพงเกินไปในระยะอย่างไรทั้งหมดนี้ก็สามารถนำมาประมวลเพื่อตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไปได้

1. ถ้าไม่มีหุ้นอยู่
แน่นอนว่าสถานการณ์แบบนี้ต้องชะลอการลงทุนไว้ก่อนเนื่องจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีแนวโน้มอ่อนตัวลงไปเรื่อยๆ เมื่อน้ำลดเรือก็ต้องลดระดับตามไม่ว่าจะเป็นหุ้นใดๆ  ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอย่างนั้นนะครับ ไม่ว่าเป็นนักลงทุนระยะใด ต้องรอก่อน

2. ถ้ามีหุ้นอยู่และลงทุนระยะสั้น
ถ้าพูดกันโดยรวมๆ คำว่า "ลงทุนระยะสั้น" นั้นแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกันเนื่อจากระยะเวลาไม่เท่ากัน สั้นของคนหนึ่งอาจจะคือ 2 เดือนในขณะที่สั้นของอีกคนหนึ่งอาจจะ 1 ปีก็ได้ แต่สำหรับผมแล้วนักลงทุนที่ต้องการ capital gain หรือกำไรจากราคาหุ้นเป็นหลักในเวลาสั้น (เรียกง่ายๆ คืออยู่ไม่ได้ด้วยปันผล) ก็ควรถูกรวมเป็นนักลงทุนประเภทนี้ด้วย  ในกรณีนี้อาจจะพิจารณาขายออกบ้างโดยเฉพาะถ้าเรายังได้กำไรอยู่และแนวโน้มราคาของหุ้นเรานั้นกำลังลดลง เป็นไปตามหลักการว่า ถ้ากำไรอยู่ อย่าปล่อยให้กำไรกลายเป็นขาดทุนเป็นอันขาด

3. ถ้ามีหุ้นอยู่ และเป็นนักลงทุนระยะยาว
ก็ ค่อนข้างตรงกันข้ามกับการลงทุนระยะสั้นน นักลงทุนระยะยาวในที่นี้ คือ มีรายได้จากการทำงานอื่น ลงทุนเพื่อหวังการเติบโตของบริษัทในระยะยาว และมีปันผลจากบริษัทเหล่านั้นรวมกับรายได้อื่นแล้วทำให้ดำรงชีพอยู่ได้  หากเป็นประเภทนี้เราจะทำอย่างไรขึ้นอยู่กับว่า หุ้นเราเป็นของบริษัทอะไร ต้นทุนของเรา ราคาเวลานี้เป็นอย่างไร และ upside ที่เราคาดหวังอยู่เป็นอย่างไร นั่นคือมี margin of safety อยู่เท่าไร ถ้ายังมีอยู่มากและเราไม่มีเวลาเฝ้าหุ้นเท่าไร ก็อาจจะปล่อยไว้อย่างนั้น หรือวางแผนการซื้อเพิ่ม แต่ถ้ามี margin of safety น้อยและมีเวลามาก และคิดว่าถ้าขายทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยงลงไปบ้าง (เช่นขายออกไปครึ่งหนึ่ง) และหุ้นกลับตัวจะสามารถซื้อคืนที่ราคาถูกลงได้ทัน (แน่นอน ว่าขึ้นกับสภาพคล่องที่จะซื้อคืนได้ ก็เป็นทางเลือกที่ควรพิจารณาได้

ต้องยอมรับว่าช่วงนี้เป็นช่วงเหนื่อยในการลงทุนสักนิด การลองลงทุนใหม่ๆ นั้นทำได้เสมอแต่ต้อง "เฝ้า" และตัดสินใจรวดเร็ว (ทั้งซื้อและขายตัดขาดทุน) แต่ถ้าเราคิดว่าเป็นวิกฤตในการลงทุน มันย่อมมีโอกาสแฝงอยู่ด้วยเสมอ เพียงแต่เรามองเห็นและกล้าคว้าไว้หรือไม่เท่านั้นเอง ขอให้มีความสุขและโชคดีในการลงทุนครับ

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2561

เฝ้าหุ้น


ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีผู้คนอยู่ร่วมกันหลายประเภทตั้งแต่คนที่เป็นนักลงทุนจริงๆก็คือมีเงินเหลือมีความรู้ในหลายด้านและต้องการรายได้ที่มั่นคงอันเป็นผลมาจากการลงทุนด้วยทุนทรัพย์ของตัวเอง 80-90% และลงแรงไม่มากนักเช่นลงแรงสัก 10-20% เป็นต้น เวลาส่วนที่เหลือของบุคคลเหล่านี้ก็อาจจะใช้ในการทำงานประจำอื่นหรือจะใช้เวลาว่างทำกิจกรรมก่อให้เกิดรายได้บ้างเล็กน้อยหรืออยู่กับลูกหลานเพราะอายุมากแล้วก็เป็นได้ ไล่เรียงเรื่อยๆ กันมา นักลงทุนประเภทลูกผสมทั้งพื้นฐานทั้งเก็งกำไร ไปจนกระทั่งถึงคนที่มีทุนทรัพย์ไม่มากนักแต่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าจะใช้วิธีเก่งกำไรอยู่หรือทำตัวเป็นพ่อค้าหุ้นมากสักหน่อยคือต้องใช้เวลาในแต่ละวันเฝ้าราคาหุ้นว่าจะขึ้นหรือลงอย่างไร เรียกว่าคงกลับข้างกันกับบุคคลประเภทแรกสุดนั่นเอง

ที่จริง ที่ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้น ก็ไม่ใช่จะบอกว่าแบบไหนดีหรือไม่ดี แต่ประเด็นอยู่ตรงคำว่า “เฝ้าหุ้น” นั่นเอง เพราะคำนี้ที่จริงแล้วนักลงทุนทุกประเภทควรจะทำ ใช่ครับท่านฟังไม่ผิด “นักลงทุนทุกประเภทควรจะทำ” แต่ว่าเป็นการทำอย่างไร ในช่วงเวลาและโอกาสที่ต่างกันอย่างไร เท่านั้นเอง สำหรับนักลงทุนประเภทเก็งกำไรโดยแท้ เขาก็จะเฝ้าหุ้นโดยดูราคาหุ้นเป็นหลัก แต่กับนักลงทุนจริงๆ (ประเภทแรกที่พูดถึงด้านบน) ล่ะ ต้องเฝ้าไหม คำตอบตามความเห็นส่วนตัวของผมคือ ควร เช่นกัน

นักลงทุนจริงๆ เฝ้าอะไร

เอาละครับสมมุติว่าท่านเป็นนักลงทุนจริงๆอาจจะเป็นสายพื้นฐานโดยแท้หรือเป็นสายพื้นฐานแบบ “ดัดแปลง (modify)” ขึ้นไปนิดหนึ่งหรือที่เรียกว่านักลงทุนแนวเน้นมูลค่าของกิจการหรือวีไอ (VI, Value Investor) (อ่านเรื่อง นักลงทุนพื้นฐานกับเน้นมูลค่าต่างกันอย่างไร) คนเหล่านี้จะประเมินมูลค่าของกิจการก่อน เมื่อตัดสินใจว่าควรลงทุนก็ซื้อกิจการนั้น  โดยส่วนตัวของผมแล้วเรื่องยังไม่จบแค่นั้น เพราะเมื่อตัดสินใจซื้อแล้วเรายังต้อง (อ่านเรื่อง วิชาแรกวิชาคัทลอส, วิชาที่สามวิชาควบคุมต้นทุน) รู้จักป้องกันตัวเองว่าไม่ให้ขาดทุนมากด้วยการขายตัดขาดทุนให้เป็น และยังต้องวางแผนซื้อให้ได้ต้นทุนที่ดีเท่าที่จะทำได้อีกด้วย  นอกจากนั้น ยังเป็นเรื่องของจริตของเราเอง เรื่องจริตนี้จะเอาความรักชอบในกิจการเพียงอย่างเดียวเป็นที่ตั้งไม่ได้ แต่ต้องผสมกันระหว่างความชอบ ความเข้าใจในกิจการว่าทำอะไรขายให้ใคร มี 5-force ที่มีผลกับกิจการอะไรบ้าง (อ่านเรื่อง 5-force) ซึ่งจะนำมาถึงความรู้ล่วงหน้าว่าในสภาวะแบบใดกิจการจะมีกำไรมากขึ้นหรือน้อยลง และที่สำคัญคือ เรื่องเหนือความคาดหมายที่มาจากปัจจัยภายนอกของธุรกิจแต่ละประเภท ซึ่งทุกธุรกิจล้วนมีทั้งสิ้น ไม่ว่าจะจากธรรมชาติชองธุรกิจนั้นเอง ไปจนถึงหลักเกณฑ์ กฏหมาย การเมือง บางทีเกินเลยไปถึงการเมืองระหว่างประเทศก็ยังกระทบได้

เฝ้าหุ้น

ดังนั้นในการลงทุนแรกๆ กับหุ้นหรือธุรกิจหนึ่ง เราอาจจะเริ่มแต่น้อย (เรื่องนี้ใช้ได้กับทั้งนักลงทุนที่เพิ่งเริ่มลงทุนและที่อยู่ในตลาดมานานแล้ว) คือ เริ่มซื้อ วางกลยุทธ์ให้ดี ว่าจะขายตัดขาดทุนที่เท่าไร รักษาต้นทุนให้ต่ำที่สุดได้อย่างไร ไปจนถึงขายทำกำไรเมื่อใด (อ่านเรื่อง วิชาที่สี่วิชาขายทำกำไร) และอยู่กับมัน เฝ้ามัน ว่าตัวธุรกิจ ราคาหุ้น มีอะไรมากระทบบ้าง เรารู้สึกอย่างไรกับมัน เรารู้ทัน เข้าใจ และทำใจได้ไหม สุข ทุกข์ มากหรือน้อยไปกับมันแค่ไหน ถ้าเราเป็นทุกข์ หุ้นขึ้น ลง ก็ไม่เข้าใจ บริษัทจะแย่ มีข่าว แต่เรามองภาพไม่ออก ก็อาจจะต้องพิจารณาว่าเราเลือกกิจการเหมาะกับตัวเองไหม แต่ถ้าเป็นในทางตรงกันข้าม มีอะไรเรารู้สึกได้ก่อน รู้ก่อน และมีความสุขกับการวางแผนลงทุนไปกับบริษัทนั้น แบบนี้ถือว่าเลือกคู่ได้ไม่ผิด

สรุป

ไม่ว่ามือใหม่หรือเก่า ซื้อหุ้นใหม่ต้องเฝ้าทั้งสิ้น เฝ้าทั้งราคาเพื่อจำกัดความเสียหาย เฝ้าทั้งพฤติกรรมของธุรกิจเองและผลกระทบจากภายนอก เพื่อหาคู่ลงทุนที่เหมาะกับตัวเราเอง และทำให้เรามีโอกาสประสบความสำเร็จที่สุด อย่างมีความสุขที่สุด ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2561

รอราคา


ช่วงที่ราคาหุ้นกำลังปรับตัวขึ้นขึ้นลงลงแทบทุกวันอย่างนี้ก็เป็นเช่นเดียวกันที่ เราได้ยินคำว่า “รอราคา” อยู่ทุกวันเช่นกัน

ควรรอราคา อย่างว่าหรือไม่

ถามว่ารอราคานั้นถูกต้องหรือไม่ผมเองก็ตอบไม่ได้เนื่องจากว่ามีทั้งผิดและถูก ก็เพราะคนรอราคาด้วยเหตุผลต่างกัน บางคนรอราคาต่ำสุดเท่าที่จะต่ำได้ แล้วหุ้นก็วิ่งขึ้นไปยาวๆ บางคนรอราคาที่ตัวเองคิดว่าต่ำแล้ว พอได้ราคานั้นก็ซื้อเต็มแรง แล้วหุ้นก็วิ่งลงมายาวๆ ดังนั้น การรอราคาบางทีก็ถูก บางทีก็ผิด ต้องย้อนกลับไปถามใหม่ว่า เรารอราคาทำไม ราคาไหน

รออย่างไรให้ถูกเรื่อง

ที่ถูกต้องแล้วคือ เราต้องรู้ว่าเรารออะไรกันแน่ คือมีจุดอ้างอิงราคาที่ถูกต้อง เพราะราคาหุ้นแกว่งไปมาทุกวันและตลอดเวลา ถ้าเราไม่มีหลักการอ้างอิง เราจะเอาสิ่งที่เราเห็นเป็นตัวอ้างอิงว่า นั่นคือถูกนี่คือแพง ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมันอาจจะเป็นเพียง “ราคาเริ่มต่ำกว่าที่เราเคยเห็น หรือ ราคาเริ่มสูงกว่าที่เราเคยชิน” แค่นั้นเอง

ดังนั้นเมื่อเราต้องการซื้อหุ้นของบริษัท เราต้องซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมัน ลบด้วยความเสี่ยงต่างๆ ก็คือ margin of safety (MOS หรือ ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย) นั่นเอง จากนั้นก็ต้องคอยควบคุมต้นทุนให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ (หุ้นสภาพคล่องต่ำ คุมต้นทุนยากกว่า อ่านเรื่อง การควบคุมต้นทุน เพิ่มเติม) และในเมื่อเรามีหลักการที่แน่นอน มีจุดอ้างอิงที่แน่นอนแล้ว ก็ย่อมมีโอกาสขาดทุนน้อยลง

และถ้าไม่ขาดทุน เดี๋ยวจะได้กำไรเองครับ

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2561

การค้าค่าเงินเป็นการลงทุนหรือไม่


สองสามวันก่อน ขณะที่ผมกำลังทำงานอดิเรกอยู่ ก็มีน้องที่รู้จักกันเขียนไลน์มาถามคำถามที่ดูง่ายมากว่า “พี่ครับ การเล่น forex เป็นไงครับ คุ้มค่าที่จะลงทุนดีไหมครับ” หลังจากที่ได้รับคำถามผมเองถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง เพราะทั้งๆ ที่ผมเองก็ได้ยินเรื่องนี้อยู่เกือบทุกวัน แต่กลับไม่เคยหาคำตอบให้กับคำถามง่ายๆ แบบนี้

การลงทุน

ก่อนอื่นมาดูที่พื้นฐานของคำว่า การลงทุน กันก่อน คำนี้ตรงกับภาษาอังกฤษว่า invest ซึ่งแปลได้หลายอย่าง (รวมทั้งเอาเงินไปซื้อของเพื่อสร้างความพอใจให้ตัวเอง) แต่หนึ่งว่า use money to create profit หรือ “การใช้เงินเพื่อสร้างผลกำไร” (คำสำคัญคือ “กำไร”) ในขณะที่เมื่อผมอ่านคำว่า การลงทุน ในภาษาไทยทีไรก็มักคิดต่อไปว่า เอาเงินไปลงเฉยๆ แล้วหายไปหรือเปล่าก็ไม่ทราบเหมือนกัน

สำหรับผม “การลงทุน เพื่อให้เกิดผลกำไร” คือการทำในสิ่งที่เรารู้องค์ประกอบของที่มาที่ไป ว่า ในการกระทำ กิจการ ธุรกิจ นั้นๆ จะดีขึ้น ตกต่ำลง มีกำไรมากขึ้นหรือน้อยลงด้วยอะไร มึองค์ประกอบอะไรบ้าง เช่น ธุรกิจหนึ่งๆ เรามักพอจะคาดหวังได้ว่า เมื่อใดจะมีกำไรมากขึ้นหรือน้อยลง (นักลงทุนจริงๆ จะรู้ แต่นักเก็งกำไร พ่อค้าผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนคง ไม่สนใจ เท่าไร) การจะมีความรู้ รวมทั้งความรู้สึกว่าเมื่อใดธุรกิจจะดีขึ้นหรือแย่ลงจะต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับธุรกิจนั้นๆ ด้วย ไม่ใช่ดูเพียงตัวเลขต่างๆ เพียงอย่างเดียว

แล้วเป็นการลงทุนไหม

คราวนี้กลับไปที่คำถามว่า การค้าค่าเงินเป็นการลงทุนหรือไม่ถ้าโดยคำจำกัดความของผมแล้วคำว่า “การลงทุน” ตือผมต้องรู้ได้ว่าเมื่อไรที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินใดๆ จะสูงขึ้น หรือต่ำลง มีองค์ประกอบอะไรบ้าง ถ้าไม่รู้ ก็คงเรียกว่าการลงทุน ไม่ได้ ยิ่งวันนี้พรุ่งนี้ ยิ่งไม่รู้ได้เลยว่าจะไปทางไหน ผมเองคงจะเรียกว่าลงทุนได้ยาก

แต่ถ้ารู้ ก็คงเก่งกว่าสถาบันการเงินทั้งหลายแล้วล่ะครับ เพราะแม้แต่พวกเขา หรือธุรกิจใหญ่ๆ ก็ยังต้องทำ currency swap (สัญญาคงอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน) เพราะไม่รู้ทิศทางของค่าเงินนั่นเอง

ข้อยกเว้นล่ะ

ก่อนอื่นต้องบอกว่าที่คุยให้ฟังทั้งหมดที่ผ่านมาด้านบนนั้นมีพื้นฐานอยู่บนส่วนตัวผมโดยเฉพาะเท่านั้น เพราะถ้าใครคิดว่าเขาสามารถรู้ได้ว่าค่าเงินใดจะขึ้นหรือลงเมื่อใด (โดยเฉพาะระยะสั้น) หรือแม้แต่สามารถทำกิจกรรมอะไรบางอย่างที่เป็นผลให้ค่าเงินเปลี่ยนแปลงได้ในทิศทางที่ตัวเองต้องการ (คล้ายๆ กับเป็นเจ้ามือเองเลยนะ) ได้แล้วล่ะก็ การค้าค่าเงินก็อาจจะเป็นการลงทุนที่ดีสำหรับเขาก็ได้นะครับ

ความแย่ของตลาด

ความแย่และผิดเพี้ยนของตลาดการเงิน การลงทุนในทุกวันนี้คือ “เรียกทุกอย่างว่าการลงทุน” ทั้งๆ ที่หลายอย่างไม่ใช่การลงทุนเลย เนื่องจากที่จริงแล้วมันมี
  • การลงทุน (จริงๆ คือรู้ว่าบริษัททำอะไร คาดการณ์แนวโน้มได้ถูกต้อง มีการวางแผนลดความเสี่ยง)
  • การค้าหุ้น (ซื้อมา หวังขายไปให้ได้กำไร บางครั้งบริษัทมีชื่อเต็มว่าอะไรยังไม่รู้เลย รู้แต่ตัวย่อชื่อหุ้น)
  • การเก็งกำไร (ผ่านผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตั้งแต่หุ้น ไปจนการต่อ-รอง ว่าหุ้นหรือดัชนีใดจะขึ้นหรือลงอย่างไร)
  • แมงเม่า (คือ ไม่รู้อะไรเลย เฮไหนเฮนั่นด้วย รวมทั้งถามหวย เอ๊ย! หุ้นรายวันว่าวันนี้เล่นอะไรดี)
ส่งท้าย

คนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนจริงๆมักจะต้องทำสิ่งที่เรียกว่า “เล่นในเกมของตัวเอง” ได้ เมื่อไรก็ตามที่เราไม่สามารถเล่นในเกมของตัวเองหรือถูกบังคับให้เล่นในเกมของตลาด เมื่อนั้นโอกาสที่เราจะขาดทุนจะสูงมาก อะไรที่เราไม่รู้องค์ประกอบที่ทำให้มันดีขึ้นหรือแย่ลง ไม่เรียกว่าการลงทุนที่ดีสำหรับเรา มันไม่ใช่เกมของเรา ก็อย่าไปยุ่งกับมันครับ

วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ลงทุนอย่างไรในปี 2561


สวัสดีครับเพื่อนๆ นักลงทุนทุกท่าน ผมเงียบหายไปหลายวันที่จริงแล้วก็ไม่ได้หายไปไหนหรอกนะครับ ผมยังคงลงทุนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เป็นเพื่อนกับทุกท่านเช่นเคย ยังไม่ได้หนีไปไหนเพียงแต่ตลอดระยะเวลาประมาณหนึ่งเดือนเศษๆ ที่ผ่านมาผมก็ได้แต่เฝ้าติดตามดูตลาดว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะนับจากปลายปีที่แล้วดัชนีตลาดหลักทรัพย์โดยรวมก็เพิ่มสูงขึ้นค่อนข้างมากจนถึงระดับที่ทะลุ 1800 จุด และทำ New High ไปเรื่อยจนถึง 1,838.96 จุดเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2561 ซึ่งผมก็เริ่มรู้สึกจากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมว่าไม่น่าจะสมเหตุผลเท่าไหร่นัก ในเวลานั้นก็เดาได้แต่เพียงว่ามีเรื่องของเงินจากนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนและได้ปรับประโยชน์ทางภาษีจึงซื้อหน่วยลงทุน LTF และ RMF ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหลักทรัพย์ค่อนข้างมากประกอบกับอาจจะมีความคาดหวังเกี่ยวกับการเลือกตั้งในปี 2561 จึงทำให้นักลงทุนต่างชาติอาจจะช่วยโอกาสเข้ามาดันหุ้นขึ้นไปด้วย ส่วนความคิดเกี่ยวกับ January Effect (คือการคาดหวังว่านักลงทุนต่างชาติจะนำเม็ดเงินมาซื้อหุ้นในช่วงต้นปี แล้วทำให้ดัชนีเพิ่มสูงขึ้น) นั้นไม่ได้อยู่ในความคาดเดา (ขอใช้คำว่าคาดเดา เนื่องจากผมเองไม่เคยคาดหวังว่าดัชนีตลาดจะเป็นไปในทิศทางใดอยู่แล้ว) เอาเสียเลย

เริ่มผันผวน

จนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมามีสิ่งกระตุ้นสองอย่างคือข่าวคราวเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่ยังไม่แน่นอนและการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาเองได้รับผลกระทบดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวจากจุดสูงสุดในระยะสั้นเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ 25,207.77 จุดลงมาที่ 23,425.13 จุดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 ในขณะที่บ้านเราก็มีผลเช่นกัน (ดูเหมือนจะเกิดขึ้นล่วงหน้าด้วยซ้ำไป อาจจะเพราะดัชนีเราสูงเกินความสมเหตุสมผลของนักลงทุนต่างชาติแล้วก็ได้) ทำให้ดัชนีทดถอยจาก 1,827.35 จุดเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ ไปที่ 1,786.45 จุดเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2561

ซึ่งถ้าจะว่าตามความเป็นจริงแล้วในความรู้สึกและความคาดคะเนโดยส่วนตัวของผม (เน้นว่าโดยส่วนตัวนะครับ) พื้นฐานของประเทศเราหากไม่มีการเลือกตั้งไม่น่าจะมีดัชนีที่สูงเกิน 1700 จุดไปได้สักเท่าไรนักการที่เพิ่มสูงขึ้นทะลุ 1800 จุดไปนั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปตามพื้นฐานของประเทศ แน่นอนว่าธุรกิจใหญ่คงสามารถทำกำไรได้อยู่แต่การเพิ่มของกำไรไม่น่าจะเกินร้อยละ 10 ไปได้ไกลสักเท่าไร

การลงทุนในปี 2561

คราวนี้มาถึงเรื่องที่ว่าเราจะลงทุนอย่างไรในปี 2561 นี้ผมคิดว่าปีนี้หากไม่มีการเลือกตั้งคงเป็นปีที่ทรงๆ คือโดยรวมแล้วไม่ได้แย่ลงแต่ก็ไม่ได้ดีขึ้น การหวังได้กำไรจากภาพรวมหรือการลงทุนดัชนีอาจจะไม่ประสบความสำเร็จมากนักยกเว้นผู้ที่อาศัยการแกว่งตัวของดัชนีต่างๆ ในระยะสั้น แต่นั่นคือการเก็งกำไรระยะสั้นหรือการซื้อขายผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนซึ่งอาจจะไม่ถือเป็นการลงทุนในธุรกิจผ่านตลาดหลักทรัพย์ ก็คงต้องตัดออกไปจากนิยามของส่วนของการลงทุน  ตลอดปีนี้ผมคิดว่าคงมีการผันผวนของดัชนีค่อนข้างมากในช่วงระหว่าง 1650 ถึง 1800 จุด ธุรกิจที่น่าลงทุนคงเป็นธุรกิจพื้นฐานเกี่ยวกับอาหารและการส่งออกอาหารธุรกิจรับเหมาก่อสร้างซึ่งต้องพิจารณาเป็นรายตัวว่าราคาของหุ้นของธุรกิจเรานั้นเหมาะสมหรือไม่และหลังจากที่ปิดงานแล้วได้กำไรจริงหรือไม่ ไม่ใช่ว่าเมื่อมีข่าวว่าได้งานหุ้นก็ขึ้นไปสูงมากครั้งหนึ่ง พอปิดจ๊อบคำนวนสิ่งต่างๆแล้วกลับกลายเป็นได้กำไรนิดเดียวหรือขาดทุนแบบนั้นก็ไม่ไหวเหมือนกัน อีกธุรกิจหนึ่งที่น่าสนใจคือการท่องเที่ยวและการขนส่งน่าจะเป็นธุรกิจที่ทำกำไรและเติบโตได้ อย่างไรก็ตามในฐานะที่เป็นนักลงทุนแนวเน้นมูลค่าของกิจการที่แท้จริงเราก็จะต้องคำนวณก่อนว่าราคาที่เราจ่ายไปนั้นถูกหรือแพงเกินพื้นฐานไปหรือไม่อย่างไร

สุดท้ายนี้ก็ขอให้นักลงทุนทุกท่านประสบความสำเร็จเหมือนเช่นเคยมีความสุขในการลงทุนและอย่าโลภจนเกินสิ่งที่เราสามารถทำได้ เพราะมันจะสร้างความทุกข์ให้กับตัวเราเอง และต้องจำไว้ว่าการคาดหวังในสิ่งที่เป็นการฉกฉวยผลประโยชน์จากผู้อื่นจนเกินไปนั้นก็เป็นบาปกับตัวเราเองไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แล้วพบกันใหม่ในเดือนต่อไปนะครับขอบคุณครับ

วันเสาร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2561

All time high!


เปิดปีใหม่ 2561 มาด้วยความแปลกใจ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ทยอยปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ประมาณหนึ่งถึงสองเดือนสุดท้ายของปี 2560 เมื่อผ่านพ้นปีเก่าไป เริ่มต้นปีใหม่ได้ไม่กี่วันดัชนีทะยานพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง จนปิดที่ 1,795.45 จุด +4.43 จุดจากวันพฤหัสบดี เมื่อวันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2561 นับว่าสูงที่สุดในรอบ 24 ปีที่ดัชนีเคยทำจุดสูงสุดไว้ที่ 1753.73 จุดเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2537

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ นักลงทุนต่างชาติและรายย่อยเป็นฝ่ายขายหุ้นสุทธิออกมาเรื่อยๆ ในขณะที่กองทุนเป็นฝ่ายซื้อสุทธิมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา (ส่วนพร้อพเทรดนั้นคงติดชึ่งซื้อๆ ขายๆ ทำกำไรไปตามจังหวะ จะคาดหวังเดาเป็นแนวทางอะไรไม่ได้มานานแล้ว แต่ก็มีผลกับดัชนีไปเป็นวันๆ) ทำให้น่าสนใจว่า จากนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ใครจะเป็นฝ่ายขายหุ้นออกมาก่อนแล้วทำกำไรได้ไป (อย่าลืมว่าเดี๋ยวนี้มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เก็งกำไรในขาลงได้ด้วย แต่ก็ต้องมีผู้ไม่เห็นด้วยจับคู่กัน)

เท่าที่สำรวจกับเพื่อนหลายคน ได้รับการบ่นคล้ายกันว่า ดัชนีขึ้นแต่หุ้นในพอร์ตไม่ไปไหน บางคนบอกว่าลงด้วยซ้ำก็มี เลยลองหันไปดูบรรดาหุ้นที่ขึ้นๆ กันมาคงพอเห็นได้ว่า
  • กลุ่ม ธนาคาร รายใหญ่เหมือนขึ้นมาเรื่อยๆ จน(อาจจะดูเหมือนว่า)สุดแล้ว มีธนาคารเล็กที่ยังขยับต่อได้บ้าง
  • หุ้นการบิน ยังหักหัวไม่ขึ้น หุ้นเรือ ยังวนๆ ที่เดิม อสังหายังไม่ดี
  • ที่คู่กันกับสายการบินคือหุ้นท่าอากาศยาน ที่ดูยังแรงต่อเนื่อง คำถามคือ มูลค่าที่เหมาะสม (เมื่อรวมข่าวต่างๆ แล้ว) ควรเป็นเท่าไร ราคานี้แพงไปหรือไม่ หรือยังถูกอยู่
  • ก่อสร้าง รับเหมาดูจะไม่กระเตื้องขึ้นอย่างชัดเจนเท่าไร
  • เหลือหุ้นเล็กๆ ที่ถ้าขึ้นเมื่อไร ตลาดจะ “เชื่อกันว่า” หมดรอบ (ซึ่งในกรณีที่เกิดตอนนี้ผมคิดว่าจริง เพราะถ้าประเมินสภาพการณ์การค้าขายในปัจจุบัน ตัวเลขเฉียด 1,800 นี้ดูสูงมากจริงๆ)
ทำอย่างไรต่อ

สำหรับผู้ที่สะสมหุ้นไว้ก่อนหน้านี้และขายทำกำไรไปบ้างแล้วก็คงไม่ต้องเป็นห่วง  สำหรับคนที่ยังไม่ได้ขายทำกำไรเมื่อได้กำไรแล้วและราคาหุ้นมีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยน้อยลงมากก็อาจจะเป็นช่วงที่ดีที่จะได้พิจารณาขายทำกำไรออกไปบ้าง  คำถามสำคัญกว่านั้นก็คือขายแล้วทำอย่างไรต่อหรือถ้าตอนนี้ไม่มีหุ้นอยู่ทำอย่างไรความเห็นส่วนตัวของผมเป็นแบบนี้นะครับ
  1. มองหากิจการที่ดี หุ้นจ่ายปันผลสูงสม่ำเสมอ (6%+) และบริษัทยังโตได้  และมี fair price สูงกว่าปัจจุบันพอควร (มี MOS พอสมควร)
  2. หุ้นใน (1) ต้องเป็นพวกที่มีราคาไม่ขึ้นตามชาวบ้านเขาในช่วงที่ดัชนีขึ้นมาสูงมากในระยะหลังๆ นี้
  3. รอครับ ร้องเพลงรอสักหน่อย คือรอดัชนีลง ทีนี้ หุ้นที่เรามองไว้ อาจจะปรับราคาลงตามน้ำที่ลดลง ตรงนี้ถึงเป็นโอกาสสะสม (นั่นคือ เราจะได้อัตราปันผลดีกว่าที่มองไว้ด้วย เพราะทุนที่ต่ำลง)
  4. ถ้ามือซนทนไม่ไหวจริงๆ เห็นหุ้นขึ้นแบบนี้ จะซื้อเก็งขาดทุนไว้สักหน่อยก็ไม่ว่ากัน (ใช่แล้วครับผ่านไม่ผิดและผมก็เขียนไม่ผิดด้วยก็คือเก็งขาดทุน นั่นหมายความว่าตั้งเป้าเอาไว้เลยว่าขาดทุนกี่บาทถึงจะขายตัดทิ้งไป) แล้วก็เฝ้ามันมากๆ หน่อย
น้ำขึ้น อะไรๆ ก็ลอยขึ้นมาหมด แต่นี่เป็นน้ำที่มีคลื่นด้วย ยอดคลื่นบางยอดอาจจะสูงผิดปกติ ประเด็นอยู่ที่ว่า มีความสมเหตุสมผลใดไหมที่น้ำนั้นจะอยู่กับเราได้อย่างมั่นคง ต้องระวังให้มาก ขอให้ทุกท่านไม่โลภ และโชคดีมีความสุขครับ

วันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560

สวัสดีปีใหม่ 2561 / 2018 - สรุปผลงานปี 2560


ก่อนอื่นต้องกล่าวคำว่าสวัสดีปีใหม่กับเพื่อนเพื่อนนักลงทุนทุกท่านนะครับในช่วงปี 2560 ที่ผ่านมาเพื่อนเพื่อนหลายท่านที่ทำงานส่วนตัวหรือประกอบธุรกิจที่จำเป็นต้องสัมผัสกับลูกค้าหรือค้าขายคงจะมีความรู้สึกไม่ต่างกันเท่าไหร่นักว่าธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลางมีสภาพการดำเนินงานที่อาจจะไม่คล่องตัวมากนักไม่เหมือนกับช่วงที่ เศรษฐกิจโดยรวมมีภาพที่ดีกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา  อย่างไรก็ตามในช่วงคงสุดท้ายของปี 2560 ดูเหมือนว่าตัวเลขเศรษฐกิจหลายอย่างกระเตื้องขึ้นบ้าง ความมันใจของผู้บริโภคสูงขึ้นเล็กน้อย ประกอบกับยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์บางประเภทเช่น รถยนต์ ซึ่งต้องไม่ลืมว่ามีอุตสาหกรรมรอบบ้านอยู่มากมายดูเหมือนจะเป็นตัวกระตุ้นให้หลายหลายอย่างดีขึ้นเล็กน้อย ซึ่งในระยะกลางและระยะยาวก็คงจะต้องติดตามดูกันต่อไปว่าจะดีขึ้นจริงหรือไม่หรือเป็นผลแต่เพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น

สำหรับตลาดหลักทรัพย์แล้วในด้านการลงทุนในภาพรวมจะเห็นว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นมากในช่วง 4 เดือนหลังของปี โดยเฉพาะในวันที่ 29 สิงหาคม 2560 ซึ่งดัชนีขึ้นมาในวันเดียว 27.46 จุดหรือคิดเป็น 1.73% ในวันเดียว และดูเหมือนเป็นจุดที่ทำให้ดัชนี "ยืนได้" จนถึงปลายปีเลยทีเดียว และในเดือนสุดท้าย ธันวาคม 2560 เพียงเดือนเดียวดัชนีปรับจาก 1,704.20 ไปปิดปี 2560 ที่ 1,753.71 จุดนั่นคือเพิ่มขึ้นมาถึง 49.51 จุดหรือ 2.9% ทั้งนี้อาจจะไม่ได้เกิดจากสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นเป็นหลักหากแต่เกิดจากผู้ลงทุนซึ่งเป็นผู้มีรายได้ในระบบภาษีและมีผลประโยชน์ทางด้านภาษีได้นำเงินมาลงทุนผ่านกองทุน LTF และ RMF ในช่วงโค้งสุดท้ายนี้ ทั้งนี้เนื่องจากหลังจากที่รอมาทั้งปีแล้วรัชนีก็มึงไม่ขยับตัวลงสักเท่าไหร่นักคงมีหลายท่านที่ตัดสินใจ (เสี่ยงบ้าง มากหรือน้อยก็ขึ้นกับว่าแต่ละท่านได้ผลประโยชน์ทางภาษีเท่าไร ถ้าได้ผลประโยชน์ทางภาษีมากมันคือหลังจากนำเม็ดกันมาลงทุนแล้วอ่ะสามารถลดย่อนภาษีได้มากก็ถือว่ามีความเสี่ยงน้อยลงถ้ามองตรงจุดนี้ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าผลประโยชน์ทางภาษีบางอย่างนั้นเอื้อประโยชน์ให้กับผู้มีรายได้สูงกว่า มากกว่าผู้มีรายได้ต่ำกว่า) ซื้อกองทุนในช่วงสุดท้าย เพื่อประโยชน์ทางภาษี จึงทำให้ดัชนีปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากนั่นเอง

ประเมินผลงานการลงทุนในปี พ.ศ. 2560

หลังจากที่จบปีพ.ศ. 2560 ไปนักลงทุนทุกท่านก็ลองทบทวนพิจารณาดูว่าผลงานการลงทุนของแต่ละท่านในปีที่ผ่านมานั้นเป็นอย่างไรสำหรับตัวผมเองก็เช่นกันมีหลายอย่างที่เกิดความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างทำได้ดีและหลายอย่างก็อยากมีข้อที่ต้องปรับปรุงแก้ไขต่อไป

(1) ด้านแผนการลงทุนโดยรวม

โดยส่วนตัวแล้วในปีที่ผ่านมาผมเริ่มกระจายความเสี่ยง (อ่านเรื่อง การกระจายความเสี่ยง ประกอบ) ให้อยู่ในรูปแบบที่กว้างขึ้น โดยลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ด้วยหวังว่าจะมีรายได้จากส่วนอื่นไหลเข้ามา อย่างไรก็ตามก็คล้ายกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ผ่านการซื้อหุ้นสามัญ คือเราต้องการได้ทั้งกำไรจากมูลค่าหุ้นเองและเงินรายได้ที่เป็นกระแสเงินสดที่มาจากปันผลของหุ้นจากบริษัทต่างๆ ในกรณีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก็เช่นเดียวกันก็คงต้องหวังทั้งสองอย่างนี้ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นไปได้โดยดี

(2) ด้านผลตอบแทนการลงทุน

ในปีที่ผ่านมาผมมีการซื้อขายหุ้นน้อยมาก (เมื่อเทียบกับขนาดของพอร์ต ต่างกับนักลงทุนแนวเก็งกำไรหลายท่านที่หากพิจารณาทั้งปีแล้วอาจจะมีปริมาณการซื้อขายหุ้นมากกว่าขนาดพอร์ตนับร้อยหรือพันเท่าก็มี) และโดยส่วนตัวต้องยอมรับว่าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันกับบางบริษัทที่ผมถือหุ้นอยู่ ทำให้มูลค่าหุ้นเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก (ทั้งด้านขึ้น และลง) หลายอย่างก็ปรับเปลี่ยนโยกย้ายได้ทันการ บางกรณีก็ทันบ้างไม่ทันบ้างปนกันไป สรุปรวมความในการโยกย้ายถ่ายเทและกระจายความเสี่ยงมากขึ้นผลงานที่เกิดขึ้นก็คือ
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นทั้งปี 205.22 จุดหรือคิดเป็น 13.25%
การลงทุน ลดลง 44.42%
ตัวเลขนี้อาจจะดูน่าจะตกใจ สลบ เป็นลม สำหรับหลายท่าน (แน่นนอน ถ้าดูตัวเลขจำนวนเงิน หลายคนคงเข้า ร.พ. แน่) แต่ถ้าย้อนไปดูในปี 2559 ซึ่งผลตอบแทนสูงมาก ประกอบกับการแปลงสินทรัพย์ให้เสี่ยงน้อยลง สร้างกระแสเงินสดจากการลงทุน (ไม่ใช่ capital gain จากการซื้อ-ขายเพื่อทำกำไร) ได้ในระดับเดิม (และเพียงพอต่อความเป็นอยู่ตามปกติ) ถือว่ายังลงทุนต่อไปได้ด้วยสภาพจิตใจปกติ ก็อยู่ลงทุนกันต่อไปครับ

(3) สิ่งที่ต้องปรับปรุง

การใช้เวลาและความคิดในการลงทุนเพิ่มในด้านอื่นนอกจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ทำให้การดูแลในส่วนของการลงทุนในหุ้นเบาบางลงไป เมื่อมองย้อนกลับไปจะเห็นได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เราเสียโอกาสไปพอสมควรอย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมเคยย้ำเสมอว่า “ไม่มีใครได้อะไรทุกอย่างทุกครั้งไป” ดังนั้นการที่เรามีพื้นฐานการลงทุนที่ดีและยังคงอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เราก็คงยังมีโอกาสที่จะลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่ดีซ่อนอยู่เสมอ  รวมความว่าหลังจากที่การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ดูเข้าที่เข้าทางมากขึ้นโดยส่วนตัวผมก็คงหันมาดูแลการลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์มากขึ้นนั่นเอง

แล้วเพื่อนๆ นักลงทุนท่านอื่นล่ะครับ อย่าลืมประเมินผลงานของตัวเองเพื่อหาข้อบกพร่องและวิธีการแก้ไขว่าอย่างไรบ้างนะครับ ลองพิจารณาและจดใส่กระดาษแปะข้างฝาไว้ก็ดีนะครับ เราจะได้เห็นทุกวันและก็จะได้พยายามดำเนินงานตามที่เราได้คิดไว้นั้น

และในวาระดิถึปี พ.ศ. 2561 จะมาถึงนี้ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง คิดหวังสิ่งใดอันเป็นประโยชน์กับตัวเองและส่วนรวมและไม่เอาเปรียบผู้อื่น หมั่นทำบุญกุศลให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่น ขอให้ประสบความสำเร็จ สมตามความปรารถนา จะเดินทางไปในที่ใดขอให้ปลอดภัยทุกท่านทุกคนครับ

วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เคล็ดเศรษฐี


เชื่อว่าเกือบทุกคนที่เข้ามาเป็นนักลงทุน หรือพ่อค้าหุ้น (ต้องขออภัยจริงๆ เพราะมีส่วนหนึ่งที่เป็นแบบนั้นจริงๆ) ล้วนต้องการทำกำไร มีรายได้มากกว่าที่เป็นอยู่ หลายๆ คนหวังเอาการลงทุนเป็นอาชีพหลักกันเลยทีเดียว ซึ่งทำได้นะครับไม่ใช่ไม่ได้ แต่ก็เหมือนหรือคล้ายกับอาชีพอื่นที่มี “ต้นทุน” ของมันทั้งสิ้น โดยต้นทุนของอาชีพอื่นอาจจะเป็นความรู้เฉพาะ การรู้จักผู้คนหรือลูกค้าที่จะเป็นผู้จ่ายเงินให้กับธุรกิจนั้น รวมทั้งเงินทุนจำนวนหนึ่งด้วย (อาจจะไม่มากนักในกรณีของธุรกิจโดยทั่วไป) ในกรณีของนักลงทุนก็เช่นกันก็ต้องมีความรู้และต้องผสมด้วยความชำนาญรวมถึงทักษะในการลงทุน (ถ้ามากเข้าอาจจะเรียกได้ว่าเป็นสัญชาติญาณเลยก็ได้) นอกจากนั้นยังต้องมีเงินทุนจำนวนหนึ่งซึ่งตรงจุด “เงินทุนจำนวนหนึ่ง” นี้เองอาจจะเป็นตัวเลขที่มากกว่าการทำธุรกิจหลายๆ อย่าง (ถ้าเงินน้อยไป และหวังรายได้จากตลาดหลักทรัพย์เพียงแหล่งเดียว สุดท้ายจะถูกบีบให้เป็นนักเก็งกำไรไปในที่สุด) และวิธีที่ถูกต้องก็ควรจะเป็นเงินทุนที่ได้สะสมมาจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เพราะนั่นเป็นสิ่งพิสูจน์ว่าผู้ลงทุนนั้นมีความชำนาญอย่างแท้จริงและทำกำไรได้จริง เนื่องจากการนำเงินทุนข้างนอกจำนวนมากมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์โดยผู้ไม่มีความชำนาญถือว่าเป็นความเสี่ยงค่อนข้างสูง

เล่าเรื่องมายาวจนยังไม่เข้าเรื่องของเคล็ดลับความรวยเสียที ซึ่งที่จริงแล้วผมเชื่อว่าเคล็ดนี้ที่เป็นแนวทางที่ถูกต้องก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร ยกเว้นแต่ถ้าเป็นวิธีแปลกๆ ในการได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทองอย่างไม่สุจริต แบบนั้นถึงเรียกว่า “ลับ” ได้ เพราะเมื่อเปิดเผยมาเมื่อไรคงเป็นอันได้เดือดร้อนเป็นแน่
เคล็ด(ไม่)ลับของความรวย
จะว่าไปแล้วไม่ยากเลยนะครับ คนรวยหลายคนไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้เป็นความลับอะไรเพราะเป็นเรื่องที่ทำเป็นนิสัยอยู่แล้ว คือ
  1. หาให้มาก
  2. มีรายได้หลายทาง
  3. หาได้ แบ่งเก็บก่อน
  4. แล้วค่อยแบ่งใช้ที่เหลือ
  5. เก็บพอแล้วเอาไปทำให้งอกเงย ให้เงินทำงานแทนเรา
  6. ทำสุขภาพให้สมบูรณ์
  7. จำกัดหนทางเงินไหลออก การจะช่วยเหลือคนอื่นต้องช่วยด้วยวิธีที่ถูกต้อง การช่วยด้วยเงินอาจจะยิ่งเป็นการทำร้ายเขาก็ได้ และพึงระลึกว่า การจ่ายเงินเพื่อให้ได้สิ่งของหลายอย่างอาจจะไม่ได้ทำให้เรามีความสุขก็ได้ อาจจะทำให้เราร้อนใจก็ได้
ประเด็นสำคัญ

หลายๆ คนเป็น “คนมีเงิน” แต่หากเป็นการมีเงินด้วยการเก็บออมเพียงอย่างเดียวโดยขาดมิติของการมีรายได้หลายทาง และให้เงินทำงานแทนเรา แบบนั้นคงจะมีชีวิตที่อึดอัดมาก เพราะเงินที่หามาได้ล้วนมาจากการทำงานของตัวเองทั้งสิ้น จึงไม่กล้าใช้ (หาได้เท่าไรเก็บหมด) คนรวยจึงเปลี่ยนเงินให้งอกเงยและให้มันทำงานแทนพวกเขา ตามสูตรที่บอกว่า....

"คนรวย เปลี่ยนเงิน (เงิน ที่ด้อยค่าได้) เป็นสินทรัพย์ ที่เพิ่มค่าได้ และสร้างกระแสเงินสดให้ไหลเข้ามาได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด"

เปลี่ยนเงินกระดาษเป็นอย่างอื่น

พราะการเก็บเงินที่เป็นกระดาษนั้นไม่ค่อยมีค่ามากเท่ากับที่พิมพ์เอาไว้บนตัวมัน สู้เราเปลี่ยนเป็น อสังหาริมทรัพย์ (ที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ เช่น ให้เช่าที่ดินได้ ให้เช่าบ้านได้ พัฒนาที่ดินให้เป็นพื้นที่ค้าขายให้เช่าได้ เป็นต้น) หรือเปลี่ยนเป็นธุรกิจก็ได้ อาจจะทำเอง หรือซื้อบางส่วนของกิจการผ่านตลาดหลักทรัพย์โดยเปลี่ยนเงินเป็น "หุ้น"  ก็เป็นแนวทางหนึ่งในการเปลี่ยนเงินกระดาษเป็นทรัพย์สินที่บริษัทถือเอาไว้ นั่นคือกลายเป็นที่ดิน โรงงาน ตราสินค้า ผลิตภัณฑ์และระบบการทำงานที่สามารถสร้างรายได้และกำไรได้ ดังนั้น "หุ้น" เองมีทั้งทรัพย์สินที่เสื่อมและไม่เสื่อมค่าอยู่ด้วยกัน สำหรับบริษัทที่มีการดำเนินงานที่ดี มีผลกำไร ก็จะเพิ่มค่าของตัวมันเองได้และกลายเป็นทรัพย์สินที่ไม่เสื่อมซ้ำยังสามารถเพิ่มค่าได้ด้วยนั่นเอง

จะเห็นว่า ไม่ได้มีความลับอะไรเลย ถ้าเรามีนิสัยแบบนั้นและทำได้แบบนั้นไปเรื่อยๆ เดี๋ยวรวยเองครับ เรียกว่า รวยอัตโนมัติ หรือ รวยไม่รู้เรื่องนั่นเอง
แต่ขอแถมท้ายไว้สักนิดว่า

“รวยเร็วก็ไม่ง่าย รวยง่ายก็ไม่เร็ว รวย (แบบไม่จริง) ทั้งง่ายและเร็วก็ไม่ยั่งยืน” นะครับ

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เครียดเพราะหุ้น

เครียดเพราะหุ้น

ในช่วงที่ดูเหมือนว่าจะเป็นขาขึ้นระยะสั้นของหุ้นที่ดัชนีไต่ขึ้นมาจากระดับ 1600 จุดกลางๆ ขึ้นมาทีเดียวถึง 1700 จุด ก็มีหุ้นตัวใหญ่หลายตัวที่ปรับราคาขึ้นมาทำให้นักลงทุน (ขอเรียกรวมๆ ว่านักลงทุนก็แล้วกันนะครับ ทั้งที่จริงแล้ว มีทั้งนักลงทุน นักเก็งกำไร พ่อค้าหุ้น นักเสี่ยงโชค และนักพนัน ปนๆ กันอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งนี้) จำนวนไม่น้อยที่ได้กำไร

แต่ก็มีหุ้นตัวเล็กๆ จำนวนไม่น้อย หรือแม้กระทั่งหุ้นตัวใหญ่เองที่เป็นตัวทำดัชนีขึ้นมา ที่มีราคาขึ้นลงหลายรอบในช่วงระยะเวลาเดียวกันนี้ ทำให้มีนักลงทุนหลายคนขาดทุนในหุ้นเหล่านั้น

เล่นเอาหลายๆ คนเครียด บ่นให้กันฟังแทบทุกวัน  ผมก็ได้แต่เตือนว่า ถ้าเครียด จะเสียสุขภาพนะ ไม่คุ้มเลย และที่สำคัญ เครียดไปก็เท่านั้น เราทำอะไรกับราคาหุ้นไม่ได้ ดังนั้น อย่าเครียด ไม่เกิดประโยชน์ (พูดง่ายเนอะ)

เรื่องของกลยุทธ์

การซื้อหุ้น ต้องวางกลยุทธ์ให้เรียบร้อย ก่อนซื้อ ว่าถ้าราคาขึ้นเราจะทำอย่างไร ถ้าราคาลงจะทำอย่างไร ลงแค่ไหนจะขายตัดขาดทุน (ด้งนั้นตัองเก็งขาดทุนด้วย ไม่ใช่เก็งกำไรอย่างเดียว) ไม่ใช่ว่าซื้อมาแล้วมานั่งคิดทีหลัง ไม่ทันการครับ ดังนั้นก่อนซื้อหุ้นคิดเลยว่าเราจะขาดทุนได้กี่บาท เงินจำนวนที่จะขาดทุนนั้นทำให้เครียดไหม ถ้าไม่เครียดก็ตั้งขาดทุนไว้เท่านั้นแล้วก็อย่าไปเครียดถ้ามันลงก็ขายทิ้งไปจบเรื่องว่ากันใหม่ แต่ถ้าขาดทุนแล้วเครียดก็อย่าซื้อตั้งแต่แรก ไม่มีใครบังคับสักหน่อย

ทำไมทุกข์

ที่สำคัญ ผมอยากบอก (ที่จริงคือ ถาม) ว่า ทราบไหมว่าทำไมเราเป็นทุกข์? ลองคิดเล่นๆ ครับ
สมมุติว่าเราเก่งกำไรระยะสั้นแค่ไม่กี่วันราได้กำไร แล้วมีคนขาดทุนไหมล่ะ แน่นอนมีคนขาดทุน ก็เพราะการเก็งกำไรระยะสั้น เป็น Zero Sum Game เหมือนบ่อน เอาเงินคนนี้ไปให้คนนั้น  บางคนอาจจะเถียงว่าสำหรับหุ้นสามัญแล้วไม่จริงหรอกต้องเป็นตลาดล่วงหน้าสิ (TFEX) ถึงจะเป็นการพนัน อันนี้ก็แล้วแต่คนคิดนะครับ

มานั่งนึกดูว่า เราทุกข์ เพราะเราอยากได้เงินคนอื่นใช่ไหมล่ะ คนอื่นไม่ว่าจะรู้ตัวหรือเปล่า ก็มีคนที่อยากได้เงินเราเหมือนกัน พอมีคนคิดอย่างนี้กับเรามากๆเข้า เราก็ทุกข์ยังไงล่ะ เมื่อความปรารถนาร้ายส่งถึงกันใจถึงใจเราจึงเป็นทุกข์
ซื้อวันนี้ พรุ่งนี้อยากให้ขึ้น

ไม่ขึ้นก็ทุกข์
ลงยิ่งทุกข์
สมมติขึ้นไปจริงๆ เราขาย ทำกำไร
ไม่พอใจ!! ทำอย่างไรต่อ
รุ่งขึ้นนั่งแช่งให้ลง (อ้าว ก็แช่งไอ้คนที่เราขายไป ให้มันขาดทุนน่ะสิ)

เป็นบาปทั้งนั้น เห็นไหม ทางที่ถูกคือเราต้องมองราคาหุ้นเหมือนกับระดับน้ำในทะเล (ถ้าจะให้ทันสมัย เดี๋ยวนี้อาจจะต้องเปรียบกับระดับน้ำฝน หรือน้ำใน กทม. ว่าเมื่อไรจะขึ้นหรือลง ท่วมขังมากหรือน้อยแค่ไหน) ว่าง่ายๆ คือ เราทำให้มันขึ้นหรือลงไม่ได้ เราคาดหวังก็ไม่ได้ เราทำได้แต่เพียงคิดว่า ถ้ามันขึ้นจะทำอย่างไร ถ้าลงจะทำอย่างไรเท่านั้นเ

แล้วทำอย่างไร

ผมอยู่กับหุ้นมา 20 ปี  พบว่าการลงทุน แบบเรียบง่าย สามัญๆ นี่แหละครับ สบายใจและยั่งยืนสุด (หลายแนวนะคร้บ ส่วนมากคือ แนวพื้นฐาน และเน้นมูลค่าของกิจการหรือวีไอ)

ถ้าจะถามว่าเก็งกำไรได้ไหม ได้สิครับ มีบ้าง ทำได้ แต่ ใจหนึ่งก็ต้องรู้นะ ว่าเราเอาเงินคนอื่นเขา ได้เงินพวกนั้นมา แบ่งไปทำบุญบ้างครับ แล้วอธิษฐานให้บุญกุศลไปถึงผู้ที่เราได้กำไรจากเขามาด้วย ผมจะทำแบบนั้นเป็นประจำ โดยส่วนตัวผมจึงทำบุญบ่อย  ให้บ้านเด็กกำพร้าบ้าง พิการบ้าง ตั้งกองทุน รพ. บ้าง ก็แบ่งเงินพวกนี้มาแหละครับ

สรุป

เครียดเพราะคาด
เครียดเพราะหวัง
คาดว่าดัชนีจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
คาดว่าหุ้นนั้นจะมีราคานั้นราคานี้

ร้ายที่สุดคือเพราะอยากได้เงินคนอื่น บางทีเราไม่รู้ตัว หรือหลอกตัวเองว่าไม่ใช่ ไม่จริง แต่ก็เหมือนคนเล่นหวยล่ะครับ ถูกกฏหมายไหม ใช่แล้วถูกกฏหมาย (ใครเขียนกฏหมายนี้ ใครได้ประโยชน์จากมันล่ะ) ในขณะที่ศาสนาต่างๆ ก็สอนอยู่ว่าเป็นสิ่งไม่ดี ดังนั้นของที่มีคนทำอยู่ เป็นอยู่ มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันถูกต้องตามศีลธรรม และธรรมะทั้งหมดหรอก พอไม่ถูกตามธรรมะก็เกิดทุกข์ เข้าใจง่ายจะตายไปครับ

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

การกระจายความเสี่ยง


การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์นั้นมีข้อดีหลายอย่าง นอกจากเราสามารถซื้อธุรกิจที่ดำเนินการมายาวนานและมีผลการดำเนินงานใบอดีตที่ผ่านมาว่าได้กำไร ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงลดลงแล้ว เรายังสามารถใช้เงินจำนวนน้อยในการลงทุนกับหลายบริษัทได้  เพราะถ้าเรานำเงินจำนวนเดียวกันนั้นไปทำธุรกิจส่วนตัว (เช่น 5 ถึง 10 ล้านบาท) เราก็คงไม่สามารถทำสามหรือสี่ธุรกิจได้เนื่องจากเงินไม่พอ ปัญหาที่หนักไปกว่าเรื่องของเงินก็คือการไม่สามารถบริหารงานหลายบริษัทนั้นได้ การเลือกลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่เราสามารถใช้เงินจำนวนน้อยเพื่อซื้อหุ้นของหลายบริษัทได้นั้นจึงเป็น ทางเลือกที่ดีและเป็น ที่มาของคำว่า “การกระจายความเสี่ยง”

การกระจายความเสี่ยงจริงหรือ

อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าการที่เราซื้อหุ้นหลายตัวในตลาดหลักทรัพย์จะเป็นการกระจายความเสี่ยงเสมอไป ลองคิดดูในกรณีที่นักลงทุนซื้อหุ้น ของหลายบริษัทแต่หลายบริษัทเหล่านั้นอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน บริษัทเหล่านั้นอาจจะเป็นคู่แข่งกันและกันเองก็ได้ และเมื่อสภาพการแวดล้อมเปลี่ยนไปไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมผู้บริโภค วัฏจักรเศรษฐกิจ วัฏจักรของสินค้าชนิดนั้น หรือแม้กระทั่งกฎหมายและการเมืองเปลี่ยนไป ธุรกิจในกลุ่มนั้นอาจจะแย่ลงทั้งกลุ่มก็เป็นได้ แบบนี้ก็คงไม่ถือว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดีนัก  ดังนั้นการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนในหุ้นที่ดีก็คือควรจะมีหุ้นของหลายบริษัทที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างกัน อย่างไรก็ตามก็ไม่ควรจะมีหุ้นจำนวนหลายบริษัทมากเกินไปเนื่องจากจะกลายเป็นเบี้ยหัวแตก (อ่านเรื่อง เบี้ยหัวแตก ประกอบ)

การกระจายความเสี่ยงจริงๆ

ที่จริงแล้ว ชีวิตคนเรามีหลายแง่มุม มีหลายทางเลือก การลงทุนก็เช่นเดียวกัน ไม่จำเป็นที่ว่าเราจะต้องลงทุนกับเฉพาะหุ้นเท่านั้น จริงอยู่การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์กับหุ้นสามัญเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย ใช้เงินไม่มากนัก มีโอกาสสำเร็จไม่ยาก (แต่ผมไม่ได้บอกว่าง่ายนะ และต้องใช้เวลา) และสามารถกระจายความเสี่ยงได้ระดับหนึ่งอย่างไรก็ตามมันก็ยังเป็นหุ้นอยู่นั่นเอง เมื่อเราลงทุนจนมี Equity หรือส่วนของเจ้าของ ส่วนที่เป็นของเราเองจริงๆ (ผมไม่ใช้คำว่าทรัพย์สิน เนื่องจากผมเองคุ้นเคยกับงบดุลการเงินทางบัญชีที่ ทรัพย์สิน = ส่วนของเจ้าของ + หนี้สิน ดังนั้นถ้าเราพูดถึงคำว่าทรัพย์สินมันอาจจะไม่ใช่ของของเราก็ได้แต่เป็นส่วนที่เกิดจากหนี้สินที่เรากู้หนี้ยืมสินคนอื่นเขามาก็ได้) ในระดับที่มีทางเลือกได้มากขึ้น เช่น ซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ ซื้อโลหะมีค่า หรือเพชรทองได้ ก็ควรมองหาการลงทุนเหล่านี้ด้วย โดยนักลงทุนแต่ละคนก็อาจจะทำตามถนัด  บางคนที่มีความสามารถในการซื้อลงทุนเพื่อเก็งกำไรในเครื่องประดับบางอย่างเช่นนาฬิกาหรูก็อาจจะลงทุนในด้านนั้น  บางคนอาจจะมีความสามารถพิเศษในการลงทุนกับเพชรพลอยก็เป็นทางเลือกที่เหมาะของเขา บางคนอาจจะลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดินเปล่าเพื่อการเก็งกำไร กรณีนี้ถ้ามีความรู้เรื่องผังเมืองหรือการขยายตัวของเมือง หรือถนนหนทางต่างๆ ก็จะได้เปรียบค่อนข้างมาก บางคนอาจจะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถให้เช่าได้หรือดีกว่านั้นก็มีมูลค่าเพิ่มในตัวมันเองด้วยในขณะที่ค่าเช่าเป็นกระแสเงินสดไหลเข้ามาก็เป็นทางเลือกที่ไม่น่ามองข้ามเช่นกัน

เป็นอย่างไรบ้างครับหลังจากอ่านเรื่องนี้แล้วเพื่อนเพื่อนนักลงทุนก็น่าจะมีมุมมองที่กว้างขึ้นในการกระจายความเสี่ยงและสามารถนำไปใช้วางแผนในการลงทุนของตัวเองได้ดีขึ้นนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ประเมินค่ามิได้


เป็นที่ทราบกันดีว่านักลงทุนแนลเม้นมูลค่าของกิจการนั้นมีความสามารถพิเศษที่นำมาใช้ในการลงทุนและกำไรบ่อยๆ ก็คือความสามารถในการประเมินมูลค่าของกิจการนั่นเอง ถ้าถามว่าเราประเมินมูลค่าของกิจการได้จากอะไรส่วนมากแล้วก็ประเมินจาก
  • กำไร
  • สินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น
  • หนี้สินที่น้อยลง
  • การตลาด/ยอดขายที่ดีขึ้น
  • เงินปันผลจ่าย, เงินสดที่สร้างได้
อย่างไรก็ตามก็ไม่ใช่หมายความว่านักลงทุนแบบเน้นมูลค่าทุกคนจะสามารถประเมินมูลค่าของบริษัทได้ทุกบริษัท บางคนก็ประเมินได้บางบริษัท บางคนประเมินได้หลายบริษัทหน่อย แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นกรณีแรกเสียมากกว่า อย่างไรก็ตามก็มีบางบริษัทที่มีนักลงทุนบางคนคิดว่าสามารถประเมินมูลค่าได้ทั้งที่จริงๆแล้วมีความเสี่ยงสูงมากในการหามูลค่าที่แท้จริงของบริษัทเรานั้นบริษัทในลักษณะดังกล่าวนี้ก็เช่น
  • มีลูกค้าไม่แน่นอน
  • มีอนาคตของยอดขายไม่แน่นอน (เช่น สินค้าและบริการขึ้นกับแฟชั่นมากเกินไป)
  • มีรายได้ขึ้นกับกฏหมายและการเมืองมากเกินไป
  • มีผู้บริหารที่ไม่โปร่งใสหรือคดโกง (เช่นตกแต่งบัญชีหรือถ่ายเงินออกไปสู่กระเป๋าตัวเอง)
คงต้องย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า หัวใจของการเป็นนักลงทุนแบบเน้นมูลค่าที่สำคัญที่สุดก็คือความสามารถในการประเมินกำไรที่ธุรกิจสามารถทำได้ (และ/หรือ เงินสดที่สามารถสร้างขึ้นได้) ซึ่งจะตามมาด้วยการเพิ่มพูนของสินทรัพย์ และ/หรือ การลดลงของหนี้สิน ถ้ามีสิ่งรบกวนต่างๆดังกล่าวด้านบนแล้วการประเมินมูลค่าก็สามารถผิดไปได้มาก (ยกเว้นบางท่าน บางกรณี ที่ทราบเรื่องจริงที่ตลาดไม่ทราบ หรือวิตก panic ไปเอง ทำให้ยังสามารถประเมินค่าได้ถูกต้องอยู่) ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หรือหนีให้ห่าง ปล่อยให้คนที่เขารู้ ที่เขาสามารถประเมินค่าได้จริงๆ ลงทุนกันไป ตัวเราเองอย่าไปยุ่งด้วยก็น่าจะดีกว่า และสบายใจกว่าครับ