มีหลายครั้งมากที่ผมได้รับคำถามจากเพื่อนๆ ทั้งนอกและในเว็บบอร์ดต่างๆ ไม่ว่าจะถามโดยตรงกับตัว หรือเขียนอีเมล์หรือหลังไมค์มาก็ตามที ในเรื่องของคำแนะนำเรื่องของการออม หรือการลงทุน ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องสองเรื่องนี้จะว่าเป็นเรื่องเดียวกัน หรือคนละเรื่องเดียวกัน ก็ได้อีก (อืม แล้วเพื่อนๆ ว่ามันเรื่องคนละเดียวกันหรือเปล่าล่ะครับ อ๊ะๆ ไม่ได้เขียนผิดนะ แต่ว่าจับผิดที่เขียนได้หรือเปล่า อิอิ) อะ ออกนอกเรื่องไปมาก กลับเข้าเรื่องดีกว่า ต่อคำถามที่ว่า ถ้ามีเงินเหลือ จะเอาไปทำอะไรดี? เรื่องนี้ก็ต้องพิจารณาว่า เงินเหลือที่ว่านั้น จำนวนมากแค่ไหน และมีเหตุอันจำเป็นต้องใช้ในเวลาใด อีกนานแค่ไหน กี่ปี และได้กันส่วนที่อาจจะจำเป็นต้องใช้ออกปแล้วหรือยัง ซึ่งคำแนะนำเบื้องต้นของผู้ออมก็คือ ควรแบ่งเงินออกเป็นหลายๆ ส่วนเช่น
1. เงินสำหรับใช้จ่ายฉุกเฉิน มีไว้ก้อนหนึ่ง ตรงนี้อาจจะเป็นจำนวนไม่มากนัก (ผมไม่สามารถบอกจำนวนได้ ขึ้นอยู่กับสภาวะของแต่ละคน) เก็บไว้ในที่ๆ มีสภาพคล่องสูง ให้ผลตอบแทนบ้าง
2. เงินสำหรับใช้จ่ายในกรณีตกงาน ที่สามารถอยู่ได้ 12-18 เดือน โดยเก็บไว้ในบัญชีที่มีค่าตอบแทนสูงกว่าอันแรก แต่อาจจะมีสภาพคล่องต่ำกว่าก็ไม่เป็นไร เพราะว่าการตกงาน ในหลายกรณีแล้วยังรู้ล่วงหน้าได้บ้าง และสามารถเตรียมตัวโยกย้ายได้ทันการอยู่
3. เงินส่วนที่เหลือ สามารถลงทุนได้ ซึ่งการลงทุนนี้ โดยคำจำกัดความง่ายๆ ก็คือ "ใช้เงินให้ทำงานแทนเรา โดยมีผลตอบแทนให้แบบที่คาดหวังได้ตามควร" ซึ่งเมื่อทำจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็สามารถที่จะดำรงชีพอยู่ได้ โดยที่ไม่ต้องทำงานเอง และเงินนั้นก็สร้างผลตอบแทนให้ได้มากขึ้นๆ ไปเรื่อยๆ
ซึ่งจริงๆ แล้ว ถ้าเราพูดถึง การลงทุนเราจะเห็นได้ว่ามีหลายประเภท ซึ่งแบ่งออกเป็นหมวดใหญ๋ๆ ได้ 4 อย่างคือ
ก) ธุรกิจ
คือใช้เงินสร้างเพื่อทำธุรกิจ อันนี้เป็นสิ่งที่เพื่อนๆ อาจจะคุ้นเคยกับการที่ผมเคยบอกไว้เสมอว่า หากต้องการรวยเร็ว ก็อาจจะไม่ง่าย แต่ธุรกิจนี่ล่ะครับที่เป็นตัวอย่างหนึ่งของการที่จะทำให้รวยเร็วได้ แต่ก็จะต้องเหนื่อยหน่อย ต้องเข้าไปดูแล แต่ผลตอบแทนนั้นอาจจะได้ ROE ที่สูงมากๆ บางครั้งคิดต่อปีแล้วหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เป็นไปได้ไม่ยาก
ข) ตราสารต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ หุ้น พันธบัตร อนุพันธ์ต่างๆ พวกนี้คือการลงทุนในตราสาร เรียกว่าหลักทรัพย์ประเภทกระดาษก็ได้ เงินและผลประโยชน์อื่นใดที่ได้มาจากสิ่งเหล่านี้เรียกรวมๆ ว่า portfolio income คือรายได้จากพอร์ตการลงทุนนั่นเอง
ค) อสังหาริมทรัพย์, ค่าสิทธิ (อืม... อันนี้ท่านต้องมีความสามารถเป็นพิเศษด้วย)
ซื้อบ้านให้เช่า มีคอนโดให้เช่า ซื้อตึกแถวไว้เซ้งต่อ ฯลฯ เงินได้ที่เป็นเงินสดที่ไหลเข้ามาจากการลงทุนประเภทนี้ เป็นเงินได้ที่เรียกว่า passive income
ง) การลงทุนในโภคภัณฑ์ต่างๆ
สินค้าพวกของกินของใช้ สินค้าเกษตร สินแร่ต่างๆ ซึ่งโดยปกติก็จะมีราคาเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อ แต่หากในบางเวลา เมื่อเกิดสภาวะบางอย่าง อาจจะทำให้ราคาของสินค้าเหล่านี้พุ่งขึ้นสูงมากเกินความจริง (หรือในทางกลับกัน ต่ำมากเกินไป) ก็เป็นโอกาสได้เข้าไปลงทุนได้บ้าง
ในการ diversify หรือกระจายความเสี่ยงในการลงทุนที่แท้จริง จะต้องทำการลงทุนในของมากกว่าหนึ่ง(ในสี่)อย่างนี้ การที่คนๆ หนึ่งลงทุนด้วยการสร้างพอร์ตหุ้นเพียงอย่างเดียว แม้ว่าพอร์ตหุ้นนั้นจะประกอบไปด้วยหุ้นของหลายบริษัท ก็ยังอาจจะไม่สามารถพูดได้ว่า เป็นการกระจายความเสี่ยงที่แท้จริง
แต่อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์หรือ Product ในการลงทุนแต่ละอย่างเหล่านี้ก็มีวิธีการลงทุนต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน ผู้ลงทุนก็ควรจะต้องเลือกลงทุนในสิ่งที่ตัวเองถนัด แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีน้อยคนมากที่จะมีความถนัดในการลงทุนทั้งสี่แบบนี้ในคนๆ เดียวกัน อย่างมากก็สามชนิด หรือโดยทั่วไปก็ประมาณสองชนิดซึ่งก็เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ดีครับ
Update ความรู้เกี่ยวกับหุ้น และการลงทุน วันนี้
คุยกันต่อในเรื่อง "งบดุล" วันนี้เพิ่มเติมไว้ในเรื่อง
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน และ เงินลงทุนระยะยาว
คลิ๊กที่ "การลงทุนโดยพิจารณามูลค่า - การวิเคราะห์เชิงปริมาณ"
ทางด้านขวามือครับ