วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ส่องอนาคตหุ้นหลักทรัพย์


ก่อนหน้านี้พักใหญ่ มีแต่คนบอกว่าการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่น จะทำให้โบรกเกอร์ต่างๆ กำไรน้อยลง แต่ผมกลับไม่เห็นเป็นแบบนั้น ตรงกันข้าม อาจจะค่อยๆ ขอปรับขึ้นพร้อมกับการเสนอการบริการที่ดีขึ้นและแตกต่างกันได้กว่าที่เป็นอยู่ การที่ถูกบังคับค่าคอมฯ อย่างในปัจจุบันนี้ เป็นการจำกัดการพัฒนาในรูปแบบหนึ่ง เนื่องจากการลงทุนพัฒนาอะไรไป ก็ไม่สามารถได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าขึ้นมาได้ การเปิดเสรีให้สามารถคิดราคาได้ตามความสามารถในการบริการ น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า

มีหลักฐานหลายเรื่องที่ทำให้ผมคิดว่า ธุรกิจนี้ไม่ได้มีอนาคตที่มืดมนอย่างที่หลายๆคนเข้าใจและคิดไปเองหรอกครับ หลักฐานเรื่องแรกคือการเข้ามาถือหุ้นจำนวนถึง trigger point ให้ต้องทำ tender offer กับบริษัทกิมเอ็งฯ ที่เคาะราคาออกมาที่ 16 บาท ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง ราคาที่เคาะออกมานี้ ย่อมสัมพันธ์กับการที่บริษัทมองเห็นอนาคตตัวเองว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ถ้าคิดว่าไม่ดี เราอาจจะได้เห็นตัวเลขที่ต่ำกว่านี้ก็เป็นได้ หลักฐานที่สองคือการร่วมมือกันของบรรดาบริษัทโบรกเกอร์ต่างๆ เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 54 ที่ผ่านมานี้ นักลงทุนจะต้องเป็นผู้จ่ายค่าธรรมเนียมให้กับทางตลาดหลักทรัพย์ด้วยตัวเองแล้ว แทนที่ทางโบรกเกอร์จะเป็นผู้รับภาระนี้ต่อไป จะเห็นการประกาศนี้ออกมาจากทุกบิษัทในวันและเวลาเดียวกัน นี่ก็เป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่มีการร่วมมือกันเป็นอย่างดีจากทุกบริษัทที่ทำกิจกาอย่างเดียวกัน

ที่นี่เมืองไทย และเป็นยุคที่ข้อมูลแทบทุกอย่างเชื่อมถึงกัน และในฐานะของคนที่ทำธุรกิจ การแข่งขันกันจนตายกันไปข้างหนึ่งแล้วหวังให้ตัวเองรอดเพียงคนเดียวเพื่อที่จะรับผลประโยชน์ทั้งหมด มันหมดยุคไปแล้วคู่แข่งเก่าตายไป สนามรบว่างลง สิ่งที่เกิดขึ้นคือจะได้คู่แข่งใหม่กว่าที่แข็งแรงกว่าเข้ามาแทนที่ เรื่องอะไรจะยอมให้เป็นแบบนั้น สู้เก็บพวกที่อยู่ๆ แข่งๆ กันในตอนนี้รู้เขารู้เราบ้าง แล้วก็แข่ง ก็เล่นกันต่อไป ทุกๆคนอยู่กันได้ไม่เจ็บตัว แบบนี้ดีกว่ากัน
เยอะเลย

ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไว้ที่ห้องไทยวีไอว่า การที่มาร์ทั้งหลายบอกว่าธุรกิจนายหน้าฯจะแย่ๆๆ ผมไม่ค่อยตกใจเท่าไร แต่ถ้าผมเห็นผู้บริหารของบริษัทเหล่านี้ ตกใจจนขายหุ้นออกมาเยอะ หรือหมด นั่นล่ะผมค่อยตกใจ (อาจจะช้าไป แต่ก็ยังได้เห็นเป็นหลักฐาน)

อนึ่ง ในเรื่องของการตัดราคากันนั้น คนที่จะทำเป็นคนแรก จะต้องมั่นใจจริงๆ ว่าตัวเองได้เปรียบกว่าคนอื่นในด้านต้นทุนจริงๆ และที่สำคัญจะต้องมั่นใจว่าในระยะยาวแล้ว ตัวเองสามารถคงความได่เปรียบนั้นไว้ได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ห้ามทำเด็ดขาด ซึ่งสำหรับธุรกิจแบบนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์อย่างในบ้านเราแล้ว ผมไม่คิดว่าใครจะมีต้นทุนที่ได้เปรียบคนอื่นกว่าในระยะยาว จึงไม่คิดว่าจะมีใครคิดสู้รบก้นด้วยวิธีดังกล่าวครับ