จริงๆแล้วโดยส่วนตัวผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใครเป็นคนที่ความคิดที่ทำให้นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มีความรู้สึกว่า การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น ท้าทาย เชือดเฉือน อะไรทำนองนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าภาพยนตร์หลายหลายเรื่องทำให้เกิดความรู้สึกนั้นก็เป็นได้ โดยสร้างภาพยนตร์ให้เห็นภาพและกิจกรรมของนักลงทุนว่าเป็นเรื่องตื่นเต้นเฉือนคม ต้องซื้อต้องขายตลอดเวลา ซึ่งดูไปแล้วการลงทุนจึงเป็นการทำงานเต็มเวลาโดยใช้เวลานั้นเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของตลาด จะผ่านหรือไม่ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ตาม เพื่อดูการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นทั้งวัน แต่มันก็เป็นเรื่องของนักลงทุนประเภทหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นส่วนใหญ่ของนักลงทุนทั่วไปเสียด้วย ภาพยนต์ต่างๆจึงถูกสร้างมาในลักษณะเช่นนั้น (เรื่องนี้ ทำให้นึกถึงเรื่องการตลาดว่า เป็นแบบ pull marketing หรือเปล่า คือสินค้าถูกสร้างตามความชอบของผู้ซื้อ)
แต่ก็ยังมีนักลงทุนอีกประเภทหนึ่งซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นส่วนน้อยในประเทศไทยของเราหรือแม้แต่ในโลกก็ตาม ก็คือนักลงทุนที่มุ่งเน้นมูลค่าของบริษัทหรือกิจการที่ต้องการลงทุน เรียกว่าจะเอาเงินไปซื้ออะไรก็ต้องคิดก่อนว่ามันคุ้มค่าหรือไม่นั่นเอง ซึ่งวิธีชีวิตนักลงทุนเน้นคุณค่ามักไม่ต้องวิ่งตามราคาหุ้นขึ้นขึ้นลงลงให้เวียนหัว เพื่อนๆ ที่เป็นนักลงทุนรุ่นใหม่เคยรู้สึกแปลกใจหรือไม่ว่าวันหนึ่งหุ้นก็ขึ้นอีกวันหนึ่งหุ้นก็ลง พื้นฐานการทำงาน ทำกำไร ของบริษัทที่หุ้นขึ้นๆ ลงๆ มากๆ ขนาดนั้นมันเปลี่ยนไปมาทุกวันกันเลยหรืออย่างไร และถ้าเราต้องการที่จะทำกำไรกับหุ้นที่ขึ้นและลงนั้นเราก็ต้องคอยคาดการณ์ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นหุ้นจะขึ้นหรือจะลง ถึงแม้ว่าจะมีเครื่องมือในการคาดการณ์และช่วยตัดสินใจอยู่หลายอย่างก็ตาม ก็อดที่จะรู้สึกเวียนหัวมากๆ ไม่ได้อยู่ดี แต่ในอีกฟากหนึ่ง นักลงทุนอีกประเภทคือนักลงทุนเน้นคุณค่าหรือประเภทพิจารณามูลค่าของกิจการเทียบกับราคาของคุณของบริษัทดังในตลาดลักทรัพย์ นักลงทุนประเภทที่ว่านี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องขอดูราคาหุ้นว่าจะขึ้นหรือจะลงในวันรุ่งขึ้นหรือในสัปดาห์หน้าหรือในเดือนหน้า แต่นักลงทุนประเภทเน้นมูลค่านี้จะพิจารณาว่าราคานั้นถูกหรือแพงกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นของบริษัทหรือไม่ เมื่อเห็นว่าราคาถูกกว่ามูลค่าของบริษัทนักลงทุนประเภทนี้ก็จะเข้าไปซื้อหุ้นโดยไม่ลังเลแน่นอนว่าอาจจะมีการวางแผนในการซื้อหรือวางแผนในการขายบ้างทั้งนี้เป็นไปตามหลักการที่ว่ามูลค่าของบริษัทเป็นเช่นไรและราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เป็นเช่นไร ไม่ใช่กังวลแต่ว่าราคาของหุ้นจะขึ้นลง อย่างไรก็ตามนักลงทุนประเภทเน้นมูลค่าจะต้องมั่นใจว่าตัวเองนั้นคำนวณมูลค่าไม่ผิด เมื่อไรก็ตามที่เขาคิดว่าการคำนวณนั้นเกิดความผิดพลาดเขาก็จะต้องแก้ไขโดยทันที อาจจะจำเป็นต้องขายหุ้นออกในราคาต่ำกว่าที่ซื้อมาก็คือขาดทุนนั้นเองก็เป็นได้
แม้นักลงทุนประเภทเน้นมูลค่าของกิจการไม่ต้องติดตามราคาหุ้นมากนัก แต่เขาจะต้องติดตามผลประกอบการของบริษัทที่ตัวเองถือหุ้นอยู่เป็นสำคัญกว่า เมื่อใดก็ตามที่บริษัทยังคงรักษาความสามารถในการดำเนินกิจการตามที่ได้คิดคำนวณมูลค่าของหุ้นเอาไว้แต่แรกและยังคงเติบโตต่อไปเขาก็ยังคงถือหุ้นของบริษัทนั้นอยู่ อาจจะมีกรณียกเว้นบ้านเช่นมีโอกาสการลงทุนอื่นที่ดีกว่ามากเขาก็อาจจะต้องขายหุ้นนั้นทิ้งไปและเข้าไปลงทุนในบริษัทที่มีอนาคตดีกว่านั้น แต่อย่างไรก็ตามบริษัทอื่นที่มีอนาคตดีกว่าที่ว่านั้นจะต้องถูกคำนวณมูลค่าและเทียบกับราคาหุ้นที่เป็นอยู่ในเวลานั้นด้วยเช่นกัน โดยที่ถ้าราคาที่เหมาะสมของหุ้นของบริษัทนั้นสูงกว่าราคาในตลาดหลักทรัพย์มากๆ ก็ยิ่งมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
ด้วยความที่นักลงทุนประเภทเน้นมูลค่าของกิจการไม่ได้ซื้อและขายหุ้นบ่อยบ่อยจึงค่อนข้างเหมาะสมกับหลายคนที่ไม่มีเวลาว่างมากนักในการเฝ้าหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อทำการซื้อขายอยู่ตลอดเวลา เราหลายคนอาจจะต้องนั่งทำงานในบริษัทห้างร้านหรือที่ทำงานประจำและไม่มีเวลาเฝ้าดูราคาหุ้นอย่างต่อเนื่อง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ไม่สามารถตัดสินใจซื้อขายหุ้นในลักษณะเก็งกำไรได้อย่างทันท่วงที (ถึงแม้ว่าจะทันท่วงทีแต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะได้กำไรอยู่ดี) และเกิดผลเสียหายได้ดังนั้นการลงทุนแบบเน้นมูลค่าจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ปลอดภัย และอาจจะเหมาะสมกับนักลงทุนที่มีงานประจำอีกหลายหลายคนก็ได้ครับ