เมื่อปีที่แล้วมีข่าวเรื่องจำนวนของบัญชีการซื้อขายหลักทรัพย์จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 1,003,046 บัญชี หรือแตะระดับ 1 ล้านบัญชีเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ขอขอบคุณข้อมูลจาก ตลท. และกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ประจำวันที่ 12 กันยายน 2557) ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าท่ามกลางทั้งความคึกคักของตลาดทุนทำให้มีนักลงทุนรุ่นใหม่ๆ ให้ความสนใจกับตลาดทุนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และผมคิดว่า (จากการดูรอบตัว) ในปัจจุบันที่สถานการณ์ของตลาดยังผันผวนมากก็ยังมีบัญชีใหม่ๆ ถูกเปิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาอย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการที่ดัชนีหลักทรัพย์เพิ่มสูงขึ้นกว่า 1,600 จุดและลดลงต่ำกว่า 1,300 จุดในช่วงเวลาเพียง 6 เดือนที่ผ่านมา หรือเกือบร้อยละ 20 คงเป็นสิ่งที่ทำให้คนทั่วไปเห็นได้ชัดเจนว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์นั้นมีความเสี่ยงมากมาย ผมใช้คำว่า "คนทั่วไป" เพราะรวมนักลงทุนทั่วไปและคนทั่วไป เพราะสิ่งที่พวกเขามักจะรับรู้คือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ซึ่งบอกความเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์ทั้งหมด "โดยเฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก" (นั่นคือ ในแต่ละวันทที่ราคาของหลักทรัพย์ต่างๆ มีทั้งขึ้นและลงนั้น ก็ทำให้ดัชนีขึ้นและลงหรือกลับกันได้ทั้งสิ้น) และภายใต้ความเปลี่ยนแปลงลดลงของดัชนีจาก 1,600 สู่ 1,300 จุดที่เห็นนั้นก็ยังมีหุ้นอีกหลายบริษัทที่ปรับตัวขึ้นเช่นกัน (ตัวอย่างเช่น CPALL, BH, GL, EASTW และอื่นๆ อีกมาก) สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ไม่ได้ซื้อหุ้นทั้งตลาด จึงอาจจะพูดได้ว่าการได้กำไรหรือขาดทุนนั้นก็อาจจะไม่ได้ขึ้นกับสภาพตลาดแต่ขึ้นกับความสามารถของบริษัทที่ตัวเองเลือกลงทุนต่างหาก และแน่นอนว่าในช่วงที่ดัชนีของตลาดหลักทรัพย์กำลังปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น ก็ยังมีหุ้นจำนวนไม่น้อยที่ปรับตัวลดลงด้วยเช่นกัน
ที่เล่าเรื่องราวต่างๆ นี้ก็เพื่อให้นักลงทุนมือใหม่มองภาพทั่วไปของตลาดทุนไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้ที่สนใจในการลงทุนพอเห็นภาพว่าไม่ว่าทิศทางของตลาด เศรษฐกิจ หรือการเมืองจะเป็นอย่างไรถ้าเราเป็นนักลงทุนที่มีความสามารถเลือกหุ้นได้ด้วยตัวเองแล้ว ความสำเร็จของเราจะขึ้นกับความสามารถในการเลือกลงทุนในบริษัทที่ดีนั่นเอง บางครั้งเราสามารถเห็นการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นมากกว่า 5-10 เท่าก็มีให้เห็นมามากแล้วเช่นกัน และในเมื่อการลงทุนในหุ้นนั้นหอมหวลขนาดนี้ และดึงดูดนักลงทุนรุ่นใหม่ๆ ให้เข้าตลาดมาขนาดนี้ บรรดานักลงทุนรุ่นใหม่ทั้งหลายควรจะเตรียมตัวอย่างไรเพื่อให้มีโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนมากที่สุด จึงเป็นคำถามที่ควรจะถูกถามมากที่สุดเช่นกัน
ใครเหมาะจะเป็นนักลงทุนได้บ้าง
จะว่ากันตามความจริงแล้ว แทบทุกคนสามารถเป็นนักลงทุนได้ ส่วนการจะลงทุนแล้วประสบความสำเร็จหรือไม่ สบายใจหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ย่อมขึ้นกับความเหมาะสมของคนคนนั้น เพราะโดยทั่วไปแล้วผู้ที่สามารถลงทุนได้อย่างสบายใจ โดยทั่วไปสามารถสรุปลักษณะของผู้ที่สามารถเป็นนักลงทุนได้ดีดังนี้
(1) ควรเป็นผู้ที่ "มีเงินเหลือ" เงินเหลือในที่นี้หมายถึงส่วนหนึ่งของเงินที่เก็บหอมรอมริบมาได้ โดยหักส่วนที่ต้องเผื่อไว้ในยามฉุกเฉินเอาไว้แล้วออกไป คือสามารถทิ้งเงินจำนวนนั้นเอาไว้ในเวลานานได้ นอกจากนี้หากเกิดการขาดทุนและต้องสูญเสียบางส่วนของเงินนี้ไปก็จะไม่สร้างความเดือดร้อนมากนัก
(2) มีรายรับประจำที่สามารถครอบคลุมรายจ่ายประจำได้อยู่แล้ว นั่นหมายถึงไม่จำเป็นต้องเร่งวันเร่งคืน อึดอัดหงุดหงิดกับผลที่ได้จากการลงทุนว่าต้องได้เท่านั้นเท่านี้ในเวลานั้นเวลานี้นั่นเอง
(3) สภาพและความเข้าใจภายในครอบครัวก็เป็นเรื่องสำคัญว่าสนับสนุนการทำงานในอีกรูปแบบหนึ่งหรือไม่ หรือเข้าใจหรือไม่ว่ากำลังนำเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนซึ่งแน่นอนว่าจะตามมาด้วยโอกาสของผลตอบแทนและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ และหากเกิดการขาดทุนจะยังสามารถเข้าใจได้โดยไม่เกิดปัญหาครอบครัวขึ้นในภายหลัง
(4) เวลาที่มีก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งที่สำคัญ อย่างน้อยต้องมีเวลาในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหลักการ วิธีการคิด และวิธีการทำ การติดตามข่าวสารของกิจการของบริษัทที่เราลงทุนว่าเปลี่นแปลงไปในทิศทางใด และเราควรปรับการลงทุนหรือไม่อย่างไร แต่ในระหว่างที่ลงทุนแล้วผู้ที่มีเวลาน้อยหรือต้องทำงานประจำก็อาจจะต้องเลือกลงทุนกิจการที่มีการเปลี่ยนแปลงและราคาหลักทรัพย์ที่เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ ในขณะที่ผู้ที่มีเวลาว่างทั้งวันก็สามารถเลือกลงทุนในกิจการที่มีการเปลี่ยนแปลงและมีราคาหลักทรัพย์ที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วมากขึ้นได้
(5) นักลงทุนที่จะมีความสุขได้จะต้องสามารถยอมรับในสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีเหตุผลได้ เนื่องจากราคาหลักทรัพย์ต่างๆ นั้นเปลี่ยนแปลงไปภายใต้ปัจจัยมากมายเกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้ ดังนั้หากเราต้องการพยายามหาเหตุผลทุกครั้งเมื่อราคาหลักทรัพย์ขึ้นหรือลงแล้วล่ะก็ เราจะไม่สามารถมีความสุขเมื่อลงทุนเลย เรียกได้ว่าในการลงทุนอย่างมีความสุขนั้นจะต้องไม่สนใจที่มา (ของการเปลี่ยนแปลงราคาของหลักทรัพย์) มากนัก แต่ต้องวางแผนไว้ว่าถ้าเกิดกรณีหรือเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นเราจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไรต่อไป
ขั้นตอนในการเป็นนักลงทุน
สมมติว่าเราได้รับตัวจนเป็นผู้ที่เหมาะสมกับการลงทุนได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปในการลงทุนก็คือการลงทุนที่สำคัญที่สุด นั่นคือการลงทุนในตัวของเราเอง เพราะต้องหาความรู้ด้านการลงทุนไม่ว่าจะเป็นการอ่านงบการเงิน การพิจารณาความสามารถในการทำกำไรของกิจการที่เราต้องการ ความเข้าใจในหลักการซื้อขาย (เป็นที่มาของแนวการลงทุนแบบต่างๆ เช่น แนวพื้นฐาน แนวคุณค่า แนวเทคนิค) จากนั้นก็ต้องทดลองเปิดพอร์ตสำหรับการซื้อขายหลักทรัพย์โดยควรทดลองซื้อขายด้วยเงินจำนวนน้อยๆ ก่อน เมื่อเวลาผ่านไปสักพักก็จะเริ่มเห็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นและต้องปรับปรุงความผิดพลาดของตัวเองในการลงทุนครั้งต่อไป ซึ่งทั้งหมดจะมีสไตล์เป็นของตัวเองเพื่อสามารถสร้างผลกำไร หรือจะเรียกง่ายๆ ว่า "ทางใครก็ทางใคร" ก็ไม่ผิดนัก
ทำอย่างไรจึงได้กำไรจากหุ้น
มาถึงคำถามที่สำคัญที่สุดและมักจะถูกถามเป็นอย่างแรกๆ แต่ผมนำมาเขียนไว้เป็นเรื่องท้ายๆ ก็คือ "ทำอย่างไรจึงได้กำไรจากหุ้น" เรียกว่าเป็นคำถามที่ง่ายมากและก็ตอบไม่ยาก ก็คือซื้อที่ราคาต่ำกว่าตอนที่ขายนั่นเอง แต่การค้นหาหลักทรัพย์ที่จะมีราคาปรับตัวสูงขึ้นในอนาคตนั้นมีศิลปะและวิธีการมากมาย ในขณะเดียวกันก็ต้องเข้าใจว่าไม่มีใครได้กำไรทุกครั้ง เพียงแต่ต้องมีจำนวนครั้งที่ได้กำไรมากกว่าจำนวนครั้งที่ขาดทุน และเมื่อได้กำไรจะต้องได้เป็นจำนวนมากกว่าตอนที่ขาดทุนเท่านั้นเอง แปลว่าในกรณีที่คิดผิดเราก็ต้องยอมรับในการขาดทุนบ้างแล้วทำการปรับปรุงวิธีการคิดในการค้นหาหลักทรัพย์ที่น่าลงทุนในราคาที่ควรลงทุนต่อไป แต่ถ้าเราดูย้อนหลังไปเป็นเวลา 5-10 ปี จะเห็นว่าราคาหุ้นของบริษัทที่ดีจำนวนมากจะเพิ่มขึ้นมาเสมอแม้ว่าในระหว่างทางอาจจะมีการกระเพื่อมขึ้นลงบ้างก็ตามที นั่นหมายความว่าในกรอบเวลาที่สั้นแล้วเรามีโอกาสที่ขาดทุนหรือกำไรจากทั้งบริษัทที่ดีและไม่ดี แต่กับบริษัทที่ดีแล้วถ้าเราไม่ได้ซื้อหุ้นมาในราคาที่สูงเกินไป เราก็มีโอากสได้กำไรมากกว่าขาดทุนอยู่มากนั่นเอง
การลงทุนนั้นมีหลายรูปแบบ แต่โดยหลักการแล้วการลงทุนหมายถึงการนำเงินให้ทำงานในสิ่งที่คาดการณ์และคำนวณไว้แล้วว่าจะเกิดผลกำไรมากกว่าผลขาดทุนอย่างมีเหตุผลที่ถูกต้อง นอกจากนั้นถือว่าเป็นกิจกรรมอื่นที่ไม่ใช่การลงทุน (เช่น เป็นการเก็งกำไร การพนัน เป็นต้น) อย่างไรก็ตามเมื่อเราคาดการณ์และคำนวณไว้แล้วว่าจะเกิดผลกำไรอย่างมีเหตุผลแล้วก็มีเครื่องมือที่ใช้ในการลงทุนอย่างหลากหลายให้ได้เลือกใช้รวมทั้งลดความเสี่ยงในการลงทุนด้วยเช่นกัน ซึ่งนักลงทุนจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้ต่อไปอีกอย่างไม่สิ้นสุดครับ
สนับสนุนบทความโดย 188BET เว็บเกมส์ออนไลน์ที่ให้บริการเดิมพันหลายด้าน เช่น หุ้น ทองคำ น้ำมัน ดัชนี และค่าเงิน ที่อาจใช้เป็นทางเลือกของเครื่องมือที่สามารถลดความเสี่ยงของการลงทุนได้ ลองคลิกดูเว็บไซต์ 188BET ที่นี่ครับ