วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

น้ำลดตอผุด


เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับสำนวนไทยคำนี้ดี ถ้าเรามองดูสภาพของตลาดหลักทรัพย์ปัจจุบันนี้แล้วไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็คงไม่ค่อยสดใสเท่าไรนัก รอบรอบบ้านอาจจะไม่ดีมากนักแต่ดูแล้วท่าทางจะแย่กว่าเพื่อน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยที่ตกต่ำมาหลายวันติดติดกันในช่วงเวลานี้ก็คงเหมือนกับน้ำทะเลที่ลดระดับลง บรรดาเรือน้อยใหญ่ที่อยู่ในท้องทะเลก็มีอันต้องลดระดับลงไปด้วย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีก และเมื่อใดก็ตามที่น้ำทะเลกลับสูงขึ้นไป เรือเหล่านั้นก็มักจะลอยสูงขึ้นไปด้วยพร้อมกัน เรียกว่าไปด้วยกันมาด้วยกัน อาจจะไม่ค่อยเห็นอะไรว่าใครดีกว่าใคร

อย่างไรก็ตามผมก็ไม่รู้จะเปรียบเทียบเหมือนกับทะเลดีหรือไม่ ในยามที่น้ำลดลงอาจจะมีเรือบางลำที่เกยตื้นริมหาดผูกอยู่กับเกาะสวยงามบางเกาะโดยไม่ได้ลดระดับลงไปกับเขาด้วย หันกลับมาดูในตลาดหลักทรัพย์บ้านเราก็เหมือนกัน ช่วงเวลาที่ดัชนีลดต่ำลงอย่างนี้ก็ยังมีหุ้นหรือหลักทรัพย์จำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้ลดราคาลงมากนัก คืออาจจะลดบ้างแต่ไม่มาก หรือบางหลักทรัพย์อาจจจะไม่ลดราคาลงเลยก็มี บางหลักทรัพย์กลับปรับเพิ่มราคาสูงขึ้นไปก็มีให้เห็นอีก จากประสบการณ์ส่วนตัวหลายสิบปีที่ผ่านมาเมื่อตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นหุ้นต่างๆ ก็เพิ่มราคาสูงขึ้นทำให้เรามักไม่เห็นความแตกต่างอะไรมากนัก ในทางตรงกันข้ามเมื่อดัชนีของตลาดน้อยถอยลงกลับเป็นโอกาสอันดีที่เราได้เห็นอะไรดีดีหลายอย่าง เช่น ราคาหุ้นบางตัวที่ทรงหรือแม้แต่ปรับตัวขึ้นไป ซึ่งก็มีความเป็นไปได้หลายอย่างที่ผมพยายามรวมมาให้ลองคิดเล่นเล่นดูนะครับ

หุ้นที่ราคาทรงตัวหรือเปล่าขึ้นก็อาจจะเป็นด้วยเหตุผลต่างๆเหล่านี้คือ

1. เป็นหุ้นที่รอข่าวดี
คือบริษัทมีพื้นฐานที่ดี มีการดำเนินกิจกรรมภายในหลายอย่างเพื่อให้บริษัทเติบโตขึ้น และรอโอกาสที่ดีที่จะเกิดขึ้น

2. หุ้นปั่นในกระแส
หุ้นประเภทนี้นึกจะขึ้นก็ขึ้น นึกจะลงก็ลง ถ้าเป็นจังหวะที่กำลังสร้างราคาและชักชวนให้ผู้คนเข้ามาซื้อหาอยู่ล่ะก็ ไม่ว่าสภาวะตลาดเป็นอย่างไรหุ้นอย่างนี้ก็มักจะไม่ปรับตัวลงเท่าไรนัก แต่เมื่อถึงเวลา อะไรก็หยุดมัน (ลง) ไม่ได้นะครับ

3. หุ้นมีคนดูแล
ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตามดูเหมือนของบางอย่างก็มีใครสักคนดูแลอยู่เสมอ ราคาหุ้นก็เช่นเดียวกัน ถ้าเขาไม่อยากให้มันต่ำเกินไปมันก็คงไม่ต่ำลงไปนัก แต่ถ้าเขาไม่อยากให้มันขึ้นไปมากมันก็ไม่ขึ้นเหมือนกัน ก็คงไม่ต้องยกตัวอย่างเพราะใครที่อยู่ในตลาดมาสักระยะหนึ่งก็คงจะสังเกตอาการเหล่านี้ได้

4. หุ้นปันผลสูง
ยิ่งถ้าเป็นบริษัทพื้นฐานดีมีปันผลที่สูงในระดับ 5 - 6% ขึ้นไป เมื่อราคาตกต่ำเกินไปก็จะมีนักลงทุนอีกประเภทหนึ่งเข้ามาซื้อเก็บเอาไว้เพื่อการลงทุน ทำให้ราคาไม่ตกต่ำไปมากนัก

5. หุ้นเติบโต
เป็นหุ้นของบริษัทที่มีพื้นฐานดี มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว หุ้นอย่างนี้ถ้าตลาดมองเห็นทั้งที่เกิดวิกฤตของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ราคาก็จะไม่ปรับตัวลดลงไปมากนัก

ดังนั้นบางครั้งในยามตลาดผันผวนหรือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลดต่ำลงโดยที่พื้นฐานโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนที่เราสนใจไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก นักลงทุนแนวเน้นคุณค่า (VI) มักจะถือเป็นโอกาสอันดีที่ทำให้ได้คิดทำให้ได้มองเห็นบริษัทบางบริษัทที่มีศักยภาพที่ดี โดยที่หลายๆ ครั้งตลาดกับมองไม่เห็นถึงศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ ในสภาวะผิดปกติหุ้นอย่างนี้ก็อาจจะมีราคาตกต่ำลงมาด้วยจนอาจจะกลายเป็นโอกาสในการลงทุนที่ดีก็ได้ คงเรียกได้ว่าเป็น "น้ำลดตอผุด" แต่เป็นตอที่ดีอยู่กลางทะเลที่ปั่นป่วนนั่นเอง