ในทางการตลาดแล้วเราจะแบ่งความนิยมต่างๆ ออกเป็นสองประเภทคือ ความนิยมชั่วคราว (Fad) ซึ่งอาจจะเรียกว่าการฮิตเหมือนกับดนตรีหรือเพลงบางเพลงเป็นเพลงฮิตก็ได้ ความนิยมชั่วคราวนี้จะเกิดขึ้นในแบบที่ไม่มีเหตุผลทางคุณภาพมารองรับ คือไม่เกิดประโยชน์ขึ้นจริงในระยะยาว ในที่สุดก็จะต้องสลายหายไป ส่วนอีกแบบหนึ่งคือ แนวโน้มความนิยม (Trend) ที่เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบฝังรากลงไปในพฤติกรรมของผู้คนในสังคมด้วยความมีพื้นฐานด้านคุณภาพมารองรับทำให้ชีวิตดีขึ้น
สำหรับตัวอย่างของแนวโน้มความนิยมหรือ Trend ที่เราเห็นกันที่ช่วงนับสิบปีที่ผ่านมาคือการใช้งานอินเตอร์เน็ต บางคนอาจมองว่าอินเตอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีซึ่งก็ถูกต้องด้วยแต่ในความเป็นจริงมันคือแนวโน้มความนิยมที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอดเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา อีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นก็คือการใช้งานสมาร์ทโฟน ที่โทรศัพท์มือถือมีความสามารถสูงขึ้นมากมายกว่าเดิม สามารถส่งข้อความสั้น (sms) เปิดเว็บเพจต่างๆ ลงโปรแกรมแอพพลิเคชั่นเพื่อการใช้งานจำเพาะได้มากมาย และก็ยังคงพัฒนาขึ้นไปไม่หยุดยั้ง สักวันหนึ่งไม่นานนี้โทรศัพท์มือถือแบบกดปุ่มและไม่ใช่สมาร์ทโฟนก็คงหมดไปจากโลก (เป็นการคาดการณ์ส่วนตัว แต่มีความเป็นไปได้สูงมาก เนื่องจากจำนวนการผลิตที่น้อยลง ราคาต้นทุนไม่ต่ำไปกว่าโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนมากนัก รวมทั้งราคาของสมาร์ตโฟนไม่ได้สูงอีกต่อไป) และไม่แน่ว่าสักวันหนึ่งคอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ้กอาจจะหมดไปจากโลกได้เช่นกันหากบรรดาสมาร์ทโฟนมีประสิทธิภาพสูงเพียงพอและสามารถต่อจอและคีย์บอร์ดภายนอกได้แบบไร้สาย เรื่องนี้ต้องติดตามกันต่อไป
กลับมาที่เรื่องของตุ๊กตาลูกเทพ จะเห็นว่าในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ (ธ.ค. 58 ถึง ม.ค. 59) มีความนิยมหนึ่งเกิดขึ้นกับคนบางกลุ่มเกี่ยวกับ"ตุ๊กตาลูกเทพ" ที่เชื่อว่ามีการเชิญให้ "เทพ" มาสิงอยู่เพื่อปกปักรักษาและช่วยทำให้เจ้าของหรือผู้ดูแลเลี้ยงดูมีโชคลาภวาสนา ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่จะต้องเลี้ยงในลักษณะคล้ายเด็กคนหนึ่ง คือป้อนข้าว ป้อนน้ำ พาไปเที่ยว และอื่นๆ อีก จนกระทั่งหลายธุรกิจไม่ว่าจะเป็นสายการบินบางสายการบิน ร้านอาหารบางร้าน ออกโปรโมชั่นลดราคาสำหรับการนำตุ๊กตาลูกเทพเข้าไปใช้บริการพร้อมกับเจ้าของ แต่ด้วยการเชื่อมโยงของระบบเครือข่ายทางสังคมทำให้เรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว คนในสังคมล้วนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นเพียงความเชื่อที่งมงายไร้สาระ จนกระทั่งหลายคนที่ "เลี้ยงลูกเทพ" ทนไม่ไหวกับการต้องพา "ลูกเทพ" ไปไหนมาไหนด้วย จนหลายคนต้องนำบรรดาตุ๊กตาเหล่านี้ไปถวายวัด (หรือแอบถวายวัด โดยการวางกองไว้โคนต้นไม้ต่างๆ ภายในเขตวัด) ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรื่องของตุ๊กตาลูกเทพนี้เป็น "Fad" อย่างแท้จริง คือไม่สร้างประโยชน์อย่างมีคุณภาพให้กับชีวิตของคนโดยทั่วไป และน่าทึ่งตรงที่ว่าเป็น Fad ที่ใช้เวลาไม่กี่เดือนเท่านั้นก็สลายหายไป เรียกว่าเป็นแชมป์ความสั้นรองลงมาจากเพลงฮิตบางเพลงเลยทีเดียว
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมานี้ ก็มีเรื่องของความนิยมหนึ่งให้เราหลายคนได้เห็นอีกคือ "ไอศครีมกูลิโกะ" ด้วยความที่มีการออกแบบใหม่และรสชาติที่อร่อย ทำให้ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี (ผมเองยังให้เพื่อนไปจองหรือเข้าคิวซื้อมาฝากเลย) เมื่อเห็นเช่นนี้เราอาจจะคิดในใจว่าจะเป็น Fad หรือ Trend ได้ไหม คำตอบต้องอยู่ที่ตลาดหรือผู้บริโภค (เรื่องไอศครีมนี้ ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อสังคมมากนัก เนื่่องจากสินค้าจัดอยู่ในหมวดของสินค้าอาหารและขนม ไม่กระทบต่อความเชื่อและศีลธรรมและการดำเนินชีวิตตามปกติ นอกจากต้องเสียเวลาเข้าคิวซื้อเท่านั้น ที่บางคนอาจจะชอบและเห็นเป็นสนุกก็ได้) และสุดท้ายอาจจะไม่ใช่ทั้ง Fad และ Trend แต่เป็นสินค้าใหม่ที่เกิดขึ้นและต้องปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากทำได้ก็จะเกิดการเติบโตต่อไป (Growing - ดูภาพ)
เขียนมานาน แต่อยากสรุปสั้นๆ เพียงว่า ในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จในระดับใหญ่ นักลงทุนจะต้องแยกแยะให้ออกว่าสินค้าและบริการเป็น Fad (ไม่ควรไปยุ่ง) หรือ Trend (จะดีถ้าเรากระโดดเข้าไปลงทุนด้วยในช่วงแรกๆ ในราคาที่ไม่สูงเกินไป) ที่หลายครั้งเราอาจจะต้องใช้จินตนาการในการคาดการณ์ว่าสิ่งใดจะเป็น Trend หรืออย่างน้อยก็เป็นธุรกิจประเภทเติบโตได้ (Growing) ให้เราได้เกาะไปในการลงทุนและประสบความสำเร็จในอนาคตครับ