ถ้าจะว่าไปแล้ว การทำกำไรของธุรกิจรวมทั้งนักลงทุนล้วนมีหลักการพื้นฐานอยู่ไม่กี่อย่าง คือ
(1) การนำวัตถุดิบมา รวม แยก ผลิต เปลี่ยนรูป สร้างมูลค่าเพิ่มแล้วขายออกไป
(2) การให้บริการกับผู้ที่ต้องการใช้บริการ หรือไม่ประสงค์จะทำงานนั้นเอง และคิดค่าบริการในราคาที่มีกำไร
(3) การซื้อสินค้า วัสดุ บริการ หรือของที่มีราคาใดๆ (รวมทั้งบริษัทอื่น) ในราคาที่ต่ำกว่าปกติ แล้วขายในราคาปกติ
ดังนั้นจะเห็นว่าในกระบวนการทำกำไรทั้งสามอย่างด้านบนนั้นมีตัวกระบวนการเองเป็นตัวทำกำไร ตัวกระบวนการนั่นเองเป็นสิ่งที่มีค่า และสำหรับนักลงทุนแล้วเรามีหน้าที่แยกให้ออกว่า ค่า คุณค่า และราคา ของมันคืออะไร
(ก) ราคา คือราคาที่ซื้อขายกันในตลาด สำหรับนักลงทุนแนวเน้นมูลค่าแล้วอาจจะต้องจำไว้อย่างหนึ่งว่า อาจจะไม่สัมพันธ์กับอีกสองข้อด้านล่างนี้เลยก็ได้
(ข) มูลค่า คือความสามารถในการสร้างผลตอบแทนของสิ่งนั้นๆ ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของกำไรในวันนี้หรือวันหน้า ทำให้เกิด
(ค) ค่า ของสิ่งของใดๆ นั้น ซึ่งคือค่าที่จริงของมัน ที่อาจจะผิดไปจากราคาที่ซื้อขายกันอยู่ และอาจจะเป็นของมีค่าแต่ไม่สร้างผลตอบแทน ถ้าบริษัทมีของเหล่านี้มากๆ อาจจะสู้บริษัทที่มีของที่มี มูลค่า สูงกว่ามากๆ ไม่ได้
ในการเป็นนักลงทุนจึงต้องฝึกมองสิ่งต่างๆ รอบตัว พยายามมองถึงความคุ้มค่าของทรัพย์สินต่างๆ ที่จะสร้างผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ เช่น
- เมื่อเห็นรถเก๋งหรูราคาแพง เห็นอะไร เห็นความสามารถว่าพาคนไปได้กี่คน เห็นความหรูหราที่จะทำให้การตกลงทำธุรกิจอื่นๆ ง่ายขึ้นไหม เห็นค่าเสื่อมราคาที่มากกว่าปกติไหม
- เวลาเห็นรถกระบะ รถบรรทุก เก่าคร่ำคร่า แต่เครื่องไม่เสียไม่รวน ขนของได้อีกนาน มูลค่าทางบัญชีแทบไม่เหลือ เราเห็นอะไร เห็นไหมว่ามีค่าเท่าไร ทำกำไรให้ได้เท่าไร
- รถยนต์ใหม่ราคาแพง รถยนต์เก่าราคาถูกกว่ามากแต่ยังใช้งานได้ดีอีก 5 ปี คุณมองอย่างไร
- รถยนต์ใหม่ราคาแพง แต่จอดไว้ไม่ค่อยได้ใช้งาน แต่เมื่อใช้งานในบางครั้งสามารถมีคุณค่าทางการตลาดได้ คุณมองอย่างไร