สำหรับเพื่อนๆ ผู้อ่านที่น่าจะถือว่าเป็นผู้ที่อยู่ในช่วงทำงานสร้างรายได้สร้างประโยชน์ให้กับตัวเอง ครอบครัว และสังคม เมื่อหาเงินได้ก็ควรใช้บ้าง เก็บบ้าง (และแน่นอน ลงทุนบ้าง) ถ้าหาแทบตายแต่ไม่ใช้เลย บางคนกลับทิ้งเงินไว้สร้างปัญหาภายหลังที่จากโลกนี้ไป (ลูกหลานทะเลาะกัน แย่งสมบัติกัน เอาเงินที่เก็บไว้มาใช้ในสิ่งไร้สาระ) คงจัดได้ว่าเข้าขั้นวิปริต ด้งนั้นควรใช้เงินที่หามาได้บ้างอย่างสมเหตุสมผล คือมีประโยขน์กับตัวเองและไม่เป็นโทษกับผู้อื่นและสังคมก็พอแล้วในการใช้เงิน แต่ละคนก็อาจจะมีสิ่งที่ชื่นชอบต่างกัน สำหรับผมแล้วก็เช่นกัน มีสิ่งที่ชอบอยู่สองสามอย่าง หนึ่งในนั้นคือการท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นในหรือนอกประเทศสุดแล้วแต่โอกาสจะอำนวย ในประเทศก็ท่องเที่ยวถ่ายภาพสถานที่ต่างๆ ภาพสัตว์ป่าต่างๆ (โดยเฉพาะนกในเมืองไทยนั้นมีเยอะและสวยมากมายจนดึงดูดนักถ่ายภาพจากหลายประเทศให้เดินทางเข้ามาเลยนะครับ) เมื่อมีโอกาสก็จะเดินทางไปต่างประเทศบ้าง โดยทัศนคติส่วนตัวแล้วผมเห็นว่าหากทำให้เหมาะสมแล้วการเดินทางท่องเที่ยวเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญกับชีวิตและไม่ใช่เรื่องสิ้นเปลืองแต่อย่างใด เป็นการเปิดมุมมองให้ทันต่อโลกและสามารถนำมาปรับใช้ในธุรกิจ การงาน การลงทุนได้เป็นอย่างดี
เตรียมตัวเดินทาง
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศคืออิตาลีโดยแทบจะไม่ได้วางแผน ก็ต้องขอบคุณคณะทัวร์อุตลุดมา ณ ที่นี้ด้วยที่อุตส่าห์ชวนผม การเดินทางครั้งนี้เรียกว่าฉุกละหุกทัวร์เพราะมีเวลาเตรียมตัวต่างๆ น้อยมาก ทั้งการจองทัวร์ การเตรียมเอกสารเพื่อขอวีซ่า (ตรงนี้แปลกที่ว่าเอกสารการเงินนั้นต้องการบัญชีเงินฝากแบบออมทรัพย์ที่มีการหมุนเวียนที่ดีเท่านั้น หลักทรัพย์เป็นหุ้นก็ไม่เอา บัญชีเงินฝากประจำก็ไม่ได้ บัญชีกระแสรายวันก็ไม่รับ ดังนั้นสำหรับท่านที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศก็ควรสร้างหลักฐานแสดงความมั่นคงทางการเงินที่ดีเอาไว้นะครับ) รวมทั้งการจัดกระเป๋าที่อาศัยว่าเป็นผู้ชายเลยทำได้อย่างรวดเร็ว จนกระโดดขึ้นเครื่อง "การบินไทย" ที่พาเหินฟ้าบินตรงสู่กรุงโรมได้อย่างปลอดภัย ตลอดการเดินทางได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากพนักงานต้อนรับบนเครื่อง ก็ขอขอบคุณไว้ด้วยนะครับ (ขอให้ทำกำไรได้จริงๆ จังๆ สักทีเถิด เพี้ยง! ตรงนี้ห้ามคิดไปว่าไบ้หุ้นเป็นอันขาด)
กรุงโรม เมืองหลวงในปัจจุบัน
สนามกีฬากลางแจ้งโคลอสเซียมในกรุงโรม
เมื่อเดินทางถึงกรุงโรม ผู้นำทางได้เตือนคณะของเราตลอดว่าตั้งแต่มีผู้อพยพเข้ามา (ที่จริงก็ไม่ได้เข้ามาในอิตาลีเพียงประเทศเดียว แต่เข้าไปยังหลายประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป และก็เกิดเหตุคล้ายๆ กันในทุกประเทศ) คดีลักเล็กขโมยน้อยก็เกิดขึ้นมากมาย กระจายทั่วไปทุกพื้นที่และรูปแบบ ตั้งแต่การขโมยกระเป๋าเก็บของมีค่าขณะรอเช็คเข้า/ออกที่สนามบิน ที่ล้อบบี้โรงแรม ล้วงกระเป๋าตามสถานที่ท่องเที่ยว หนักหน่อยก็วิ่งราวกระชากกระเป๋า (ด้วยมอเตอร์ไซค์ เหมือนบ้านเราเลย) หรืองัดรถยนต์ไปจนกระทั่งรถทัวร์ที่จอดรอนักท่องเที่ยวเพื่อขโมยสิ่งของที่นักท่องเที่ยวทิ้งไว้บนรถ หนักที่สุดก็คือการจี้รถทัวร์และคนขับไปทั้งคันเพื่อขโมยของต่างๆ (คราวนี้ได้บรรดาของในกระเป๋าเดินทางที่มักอยู่ใต้รถทัวร์ไปด้วย) เรียกว่าสารพัดรูปแบบกันเลยทีเดียว สำหรับเราที่เป็นนักท่องเที่ยวก็คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการนำของมีค่า พาสปอร์ต เงิน กล้องถ่ายรูป ติดตัวลงไปทุกครั้งโดยไม่ทิ้งไว้บนรถ และระวังไม่ให้ไปโดนล้วงกระเป๋าข้างนอกรถก็แล้วกัน
ถ้าไม่นับเรื่องจากผู้อพยพแล้ว ผู้นำทางคณะของเราที่เคยเรียนที่อิตาลีเองยังบอกว่าคนอิตาลีมีนิสัยค่อนข้างมือไว ชอบหยิบนั่นนี่ (ที่สำคัญคือไม่ใช่ของตัวเองน่ะสิ) แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะ แต่ที่แน่ๆ คือเพื่อนสมัยเรียนของไกด์เองก็เคยแอบขโมยอาหารที่ทำขึ้นมาแถมยังบอกว่าก็อร่อยดีเสียอีก ดูเขาสิเอ้า
ถ้าตัดเรื่องที่เราต้องคอยระวังเรื่องการลักเล็กขโมยน้อยแล้วเห็นได้ว่าอิตาลีเป็นประเทศสวยงาม ถนนหนทางสวย ปลอดภัย มาตรฐานสูง มีต้นไม้ใหญ่ซ้ายขวาของถนนมากมาย (ถึงตรงนี้อดไม่ได้ที่อยากตำหนิผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการตัดแต่งกิ่งไม้ในบ้านเรา ที่บางครั้งตัดเสียจนกุดไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดกันเลยเชียว ก่อนตัดคิดอะไรบ้างไหมไม่รู้ได้ว่าต้นไม้บางต้นมีอายุมากกว่าตัวคนตัดเองเสียอีกนะ) และแม้จะไม่ถามก็ขอบอกว่าผู้ชายหล่อ ผู้หญิงดูดีครับ
อิตาลีมีประชากรประมาณ 60 ล้านคน มีรายได้จากอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และการท่องเที่ยวมาก นักท่องเที่ยว รถบัส ที่เข้าแต่ละเมืองต้องเสียภาษี (คนละ 4 ยูโร รถบัส 200 ยูโร) เสียเป็นเมืองๆ ไปเลยไม่มีเหมาเป็นแพ็คเกจแบบโทรศัพท์มือถือเมืองไทยนะครับ และอัตราภาษีที่จัดเก็บนี้มีแผนจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคตจนคนขับรถที่เป็นคนอิตาเลียนเองยังบอกว่า มาเฟียเก็บเงินชัดๆ (หมายความว่าตัวเขายังรู้สึกว่าแพงเกินไปเลย)
พูดถึงคนขับรถโดยสารที่อิตาลีจะเหมือนเยอรมัน คือกำหนดเวลาขับไม่เกินวันละเท่าไร ต้องพักเท่าไร เพื่อความปลอดภัย ในรถจะมีบันทึกว่ารถ ขับไปเท่าไร พักย่างไร โดยทำเป็นระบบ ในรถมีระบบบันทึกข้อมูล (ไม่ใช่คนกรอกเอาเอง เวลาตำรวจเรียกดูก็สามารถเห็นได้ทันที) ถนนหนทางดี เห็นแล้วอิจฉาเลยล่ะ
กรุงโรม (Rome ในภาษาอังกฤษหรือ Roma ในภาษาอิตาลี) เป็นเมืองหลวงของประเทศในปัจจุบัน มีประชากรราว 3 ล้านคน สถานที่สำคัญคือวิหารเซนท์ปีเตอร์ (ในนครวาติกัน) และน้ำพุเทรวี (Trevi) และสนามกีฬากลางแจ้งโคลอสเซียม ที่มีโอกาสไปเยือนทั้งหมด เช่น นครวาติกัน ที่เป็นนครรัฐอิสระตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม มีชาวคริสต์เยอะแยะมากมายมาเยี่ยมชม นครวาติกันมีพื้นที่ 400,000 ตร.ม. นครวาติกันมีประชากร 800-900 คน ส่วนใหญ่เป็นนักบวช สถานที่สำคัญที่อยู่ภายในนครวาติกันคือโบสถ์เซนท์ ปีเตอร์ ผู้คนเยอะมากๆ ขอบอกครับ ได้ไปถ่ายรูปเล่นก็โอเคแล้วโดยไม่มีโอกาสได้เห็นพระสันตปาปาเพราะท่านจะออกมาพบปะกับผู้คนที่มารอเฝ้าทุกวันพุธช่วงเช้า ก็ผมไปเป็นวันศุกร์ ผิดไปหลายวันเลยเชียว ตอนเย็นก็เดินทางต่อมาที่เมืองฟลอเรนซ์และนอนที่ฟลอเรนซ์อยู่หนึ่งคืน และเดินเที่ยวแถว ๆ ฟลอเรนซ์ ตอนอยู่โรมไม่เห็นรถไฟใต้ดินนะครับ เพราะถ้าขุดลงไปคงเจอโบราณสถานจนต้องหยุดขุด ขนาดจะปรับปรุงถนน ตึก บางจุด ขุดไปหน่อยเดียวยังเจอซากตึก ซากกำแพงโบราณ ก็ต้องหยุดขุดแล้วเอารั้วกั้นไว้สวยงาม (เป็นงั้นไป) แต่อิตาลีมีรถไฟระหว่างเมือง ส่วนความเร็วจะปานกลางหรือสูงก็ไม่ทราบเหมือนกันเพราะวิ่งตามไม่ทัน แต่ดูหน่วยก้านหน้าตาแล้วเป็นแบบหัวกระสุนและน่าจะเร็วไม่ต่ำกว่า 150 กม./ชม. แต่ทั่วไปชอบถนน มีต้นไม้ใหญ่ริมถนนเยอะมาก ตัดแต่งอย่างดี (เห็นได้ตั้งแต่อยู่บนเครื่องบินตอนที่บินวนก่อนการลงที่สนามบิน เลโอนาร์โด ดา วินชี ฟีอูมีชีโน ที่กรุงโรมแล้ว) แต่คนอิตาเลียนโดยทั่วไปไม่ได้ดูน่ารักเท่าคนยุโรปอีกหลายประเทศ คือ การทักทาย ความยิ้มแย้ม ดูไม่เหมือนคนยุโรปปกติครับ แม่แต่พนักงานในโรงแรม ยังไม่ยิ้มแย้มเท่าไร แต่นิสัยใจคอนั้นก็ไม่ได้เลวร้ายหรอกครับ
จะว่าไป เรื่องการสื่อสารนี้ ผมเคยไปรัสเซีย ได้ประชุมวิชาการทางด้านภาษา (ผมไปเกี่ยวไรกับเขาด้วยก็ยังงงๆ แต่ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ได้ร่วมสัมนาได้) ก็ได้ฟังศาสตราจารย์ทางภาษาชาวรัสเซีย เล่าเรื่องการสื่อสารของชาวรัสเซีย ที่แปลกกว่าชาติอื่น เช่น ถ้าเราอยู่ในวงสนทนาแล้วพูดไม่ทันเพื่อน เราจะโดนลืมไปเลย หรือ คนรัสเซียจะไม่ค่อยตอบสนองในการสื่อสาร เช่น ทั้งที่คุยกันอยู่ก็อาจจะไม่รับ ไม่พยักหน้า คือ เฉยๆ ดูอาจจะเป็นเรื่องแปลกของเราแต่ก็เป็นธรรมชาติของคนในแต่ละชาติครับ
ถึงแม้ว่ากรุงโรมจะเป็นเมืองหลวงของอิตาลีในปัจจุบัน แต่เป็นที่รู้กันว่าเมืองเศรษฐกิจของอิตาลีคือเมืองมิลานที่มีประชากรประมาณ 2 ล้านคน พูดถึงเมืองต่างๆ ของอิตาลีนั้นน่าสนใจและแยบคายตรงที่ว่า ในยุคของการรวมชาติ มีการค่อยๆ รวมเอาเมืองต่างๆ เข้ามา เมืองใหม่ๆ ที่ถูกรวมจะถูกกำหนดเป็นเมืองหลวง และเมื่อรวมเมืองใหม่เข้ามาอีกก็ให้เมืองนั้นเป็นเมืองหลวงใหม่ต่อไป การทำแบบนี้อาจจะมีวัตถุประสงค์หลายอย่างเช่น ให้งานราชการไปเน้นหนักในบริเวณนั้น ให้ความเจริญมุ่งไปที่นั้น (ใครๆ ก็อยากให้เมืองตัวเองเจริญ จนยอมรวมเป็นชาติเดียวกัน) เป็นต้น
ฟลอเรนซ์
ฟลอเรนซ์ อิตาลี
จากกรุงโรมเราเดินทางต่อไปยังฟลอเรนซ์ สำหรับท่านที่ชอบแฟชั่นนี่คือเมืองเกิดของ Gucci และเมื่อก่อนรุ่งเรืองมากจากการทำขนแกะ ปัจจุบันมีประชากรราว 300,000 คน ที่เมืองนี้คณะได้แวะไปดูรูปปั้นเดวิด ที่ปั้นโดยศิลปินเอก ไมเคิ่ล แองเจลโล แต่ว่าเป็นของทำขึ้นมาใหม่ ของจริงหลังจากถูกตั้งตากแดดตากฝนมา 400 ปี ก็ทำความสะอาดขัดสีฉวีวรรณเก็บเข้าพิพิธภัณฑ์ไป ที่จริงผมว่าไม่น่าขัด แต่น่าจะเก็บไว้เดิมๆ เดี๋ยวไม่เดิม ฮ่าๆๆ (พูดถึง ไมเคิ่ล แองเจลโล่ เรียกได้ว่าเป็นศิลปินสมัยทำเงินได้ คือทำงานศิลปะเป็นพาณิชย์ ได้เงินมากจากเศรษฐีผู้ว่าจ้าง ไมเคิ่ล แองเจลโล จึงเป็นศิลปินมีเงิน ไม่ไส้แห้งเหมือนคนอื่นในยุคอื่นๆ)
ระหว่างทางเรารับประทานอาหารจีนบ้าง อาหารอิตาเลียนบ้าง สำหรับอาหารอิตาเลียนนั้นเชื่อกันว่าอิตาลีเป็นที่กำเนิดของกินเลื่องชื่อสองอย่างคือ ไอศครีมและพิซซ่า ที่นี่เรียกไอศครีมว่าเจลลาโต และพิซซ่านั้นมีการขุดพบซากโบราณของเมือง ในนั้นพบซากของ "พิซซ่า" ค้างอยู่ในเตาที่กำลังจะอบนั่นเอง คาดว่ากำลังทำอาหารแต่เกิดเหตุร้ายเช่น แผ่นดินไหวเสียก่อนเลยทั้งอดกินและถูกฝังอยู่แบบนั้น
โบโลญญา
เจอแล้ว หอที่เอียง ทีแรกดูผิดหอ ดูอย่างไรก็ไม่เอียง
หลังจากเที่ยวชมฟลอเรนซ์จนหมดแรงขาก็เดินทางไปยังเมืองโบโลญญา (ชื่อเมืองนี้เขียนและแปลเหมือนไส้กรอกนั่นแหละครับ) เป็นเมืองที่ว่ากันว่ามีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเมืองหนึ่งในอิตาลี เมืองเงียบสงบ มีหอคอยเอียงอยู่ที่ตอนแรกเรามองผิดหอที่มันตรงเป็นปกติมองเท่าไรๆ ก็ไม่เอียง จนหมดความพยายาม แต่เมื่อเดินต่อมาอีกสัก 20-30 เมตรได้ก็เจอหอคอยที่เอียงจริงๆ แบบไม่ต้องใช้ความพยายาม เป็นอันว่าได้เห็นหอเอียงสมใจ (บอกตรงๆ ว่าตอนนั้นคิดในใจว่า ประเทศนี้ทำอะไรก็เอียงไปหมดหรืออย่างไร นอกจากหอคอยเหล่านี้แล้วผมว่าต้องมีอีกหลายอย่างที่เอียงแน่ๆ เลย)เวนิซ
เมืองเวนิซกับเรือกอนโดลา
จากเมืองโบโลนยาเราเดินทางต่อไปเวนิส มีแผนว่าคืนนี้จะนอนที่เวนิสฝั่งแผ่นดิน (เพราะฝั่งเกาะแก่งนั้นนอนไม่ได้เนื่องจากเฉพาะค่าจอดรถยังแพงมากคือโหดร้ายระดับ ชม. ละ 10 ยูโร ค่าห้องนอนเลยไม่ได้ถาม) แล้วตอนค่อยเข้าเมืองเวนิซที่มีเกาะนับร้อย เวนิซเมื่อก่อนเป็นเมืองท่า ตอนนี้ถูกโค่นแชมป์ไปโดยเมืองปิซา เมื่อก่อนเวนิซถูกปกครองโดยออสเตรีย เพิ่งเข้าร่วมรวมเป็นส่วนหนึ่งของอิตาลีในราวปี 1860 ครับเมื่อถึงเวนิซเราต้องข้ามเรือเร็วจากฝั่งแผ่นดินไปยังเกาะแก่งต่างๆ (มีนับร้อยเกาะ) เมื่อขึ้นเกาะเล้วเรามีโอกาสได้ล่องเรือกอนโดลา (gondola) ที่ต้องใช้คนคัดท้ายที่คัดเป็น เพราะเรือนี้มีโครงสร้างแบบไม่สมมาตร (ด้านท้ายเบี้ยวยกสูงไปด้านหนึ่ง ผู้คัดท้ายจะยืนคัดอยู่บริเวณนั้น สนนราคาก็ 80-100 ยูโรต่อระยะเวลา 40-60 นาที หลังจากนั่งเรือแจวจนขึ้นฝั่งเสร็จสรรพ เดินเที่ยวชมเมืองเวนิซอีกเล็กน้อย เราก็ขึ้นเรือสปีดโบ้ทกลับมาฝั่งแผ่นดินเพื่อเดินทางต่อโดยเป้าหมายต่อไปคือเมือง เวโรน่า เพื่อไปดูบ้านของ "จูเลียต" ตัวละคนเอกหนึ่งในเรื่อง "โรเมโอกับจูเลียต" นั่นเอง พูดถึงบทประพันธ์ที่ วิลเลียม เช็คสเปียร์ แต่งขึ้นเรื่องนี้ ได้แนวความคิดมาจากการขัดแย้งกันของขุนนางบางเหล่าในสมัยนั้น ทำให้เกิดเป็นอุปสรรคความรักของหนุ่มสาวและเขียนเป็นเรื่องนี้ขึ้น นั่นคือเรื่องของโรเมโอกับจูเลียตเป็นเรื่องแต่งขึ้นทั้งหมดและไม่มีความจริงแต่อย่างใดนั่นเอง (อ้าว แล้วบ้านใครล่ะนี่ที่เราจะเดินทางไป)
เมืองเวโรน่า - ภาษีท่องเที่ยว
รูปปั้นจูเลียต ภายใน "บ้านจูเลียต" เมืองเวโรน่า
หญิงสาววัยรุ่นกำลังเขียนข้อความเพื่อแปะไว้บนผนัง "บ้านจูเลียต"
ก่อนเข้าเมืองเวโรน่าก็ต้องเสียภาษีเสียก่อน (ที่จริงก็เสียมาทุกเมืองนั่นล่ะครับ แต่ลืมเล่า แหะๆ) เมืองเวโรน่ามีแม่น้ำล้อมรอบสามด้าน มีโคลอสเซียมที่สร้างในเวลาเดียวๆ กันและมีลักษณะเดียวกับที่โรม แต่ยังสมบูรณ์อยู่ การเดินเล่นในเวโรนาในวันสุดสัปดาห์แบบนี้ดูน่าสนุก ผู้คนจำนวนมากมายเดินทางมาเพื่อกิจกรรมหลากหลายอย่าง เช่น ไปยัง "บ้านจูเลียต" เพื่อเขียนข้อความไว้ตามกำแพงหรือติดแม่กุญแจเอาไว้ที่กำแพงภายในของบ้าน นัยว่าเพื่อขอให้จูเลียตให้พรให้สมหวังในความรัก (ก็ไม่แน่ใจว่าความเชื่อนี้มาจากไหน เพราะเท่าที่ทราบ จูเลียตกับโรมีโอเองก็ไม่ได้สมหวังในความรักสักหน่อย) อีกกิจกรรมภายในบ้านของจูเลียตก็คือการ "จับหน้าอก" รูปปั้นจูเลียตที่เชื่อกันว่าจะทำให้โชคดีในความรักเช่นกัน นอกจากนั้นบังเอิญว่าวันที่เข้าเมืองเป็นวันอาทิตย์ บริเวณ "โคลอสเซียม" จึงมีการจัดการแสดงดนตรี ผู้คนจึงมากมายเป็นพิเศษ หลังจากเดินเล่นและรับประทานอาหารเย็น (มื้อนี้เป็นอาหารจีน) คณะของเราก็เดินทางออกนอกตัวเมืองราว 10 กิโลเมตรเพื่อเข้าพักโรงแรมเพื่อเตรียมออกเดินทางไป "มิลาน" กัน
โคลอสเซียม เวโรน่า - โคลอสเซียมหรือสนามกีฬากลางแจ้งที่กรุงโรม ถูกทำลายไปมาก
แต่ที่เมืองเวโรน่านั้นยังค่อนข้างสมบูรณ์ ยังสามารถใช้เป็นสถานที่จัดการแสดงต่างๆ ได้
เดินเล่นในมิลาน
ภายในมหาวิหารแห่งเมืองมิลาน ยิ่งใหญ่อลังการมาก
เมื่อเราเดินทางเข้าตัวเมืองมิลาน สังเกตได้ชัดว่ารถติดมากเนื่องจากเป็นเช้าวันจันทร์ ผู้คนเข้าเมืองเพื่อทำงานเนื่องจากมิลานเป็นเมืองธุรกิจ แถมฝนยังกระหน่ำลงมาอย่างหนัก เมื่อรถหยุดเราก็วิ่งกระหืดกระหอบจากจุดที่รถสามารถส่งเราได้ใกล้ที่สุดจนกระทั่งถึงมหาวิหารแห่งเมืองมิลาน (Duomo di Milano) ซึ่งมีขนาดใหญ่โตมาก ก่อนจะเข้าชมก็ต้องเสียเงินค่าตั๋วเป็นเงิน 2 ยูโร ลองนึกภาพตามไปว่าเราต้องเข้าคิวในที่โล่ง ฝนตกหนัก ลมพัด เพื่อรอตรวจอาวุธก่อนเข้าโบสถ์ (แน่นอนว่า ไม่เฉพาะคนไทยที่จะต้องตรวจอาวุธเช่นนี้ คนต่างชาติอื่นๆ และคนอิตาเลียนเองก็ต้องถูกตรวจอาวุธด้วยเช่นกัน) โบสถ์นี้เป็นศิลปะแบบนีโอโกธิค ภายในเก็บตะปูที่ตรึงกางเขนพระเยซูเอาไว้ เพื่อนในคณะบางท่านก็พยายามเดินไปหาตะปูดังกล่าว แต่ปรากฏว่าถูกเก็บเอาไว้อย่างดี น่าจะได้เห็นเพียงกล่องเท่านั้น พอเราออกมาจากโบสถ์ก็ได้เวลาฝนซาเม็ดลง คราวนี้ค่อยๆ เดินขึ้นรถที่จอดรออยู่ (ก็ เดินอีกประมาณ 400-500 เมตร) เพื่อมารับประทานอาหารกลางวันกัน เมืองมิลาน (Milan) เป็นคำเรียกในภาษาอังกฤษ โดยชาวอิตาเลียนเองจะเรียกว่ามิลาโน (Milano) มีชื่อเสียงด้านศิลปะ แฟชั่น ผ้าไหม รวมทั้งเป็นถิ่นกำเนิดของรถยนต์อัลฟ่าโรเมโอ นอกจากนั้นสำหรับแฟนฟุตบอลคงคุ้นเคยกับสโมสรอินเตอร์มิลานและเอซีมิลานด้วยแน่ๆ
ที่แปลกอย่างหนึ่งในอิตาลีคือห้องน้ำที่ร้านอาหารต่างๆในอิตาลีมักไม่แยกผู้หญิงผู้ชายออกจากกัน บางทีไปเข้าห้องน้ำทั้งสองฝ่ายอาจจะรู้สึกแปลกๆ หน่อยที่มีอีกฝ่ายมายืนรอเป็นเพื่อนอยู่ด้วย และที่สังเกตอีกอย่างหนึ่งคือลิฟท์ในโรงแรมต่างๆ มีขนาดเล็ก ประมาณว่าเข้าไปสามคนพร้อมสัมภาระก็ยืนกันลำบากแล้วล่ะ
เจนัว
บ้านที่มีธงปักอยู่ เป็นบ้านเก่าของโคลัมบัสในเมืองเจนัว
จากมิลานเราเดินทางกันต่อไปยังเมืองเจนัว ระหว่างทางตั้งแต่ออกจากมิลานจนถึงที่หยุดพักรถที่แดดออกแรง ลมพัดเย็นมาก ไม่รู้ว่าบรรดาสาวๆ ในคณะไปติดสินบนอะไรพระอินทร์เอาไว้เพราะที่พักนี้คือ Serravalle Outlet ที่เป็นสถานที่ช้อปปิ้งของบรรดาคุณสุภาพสตรี (ที่จริงก็มีสินค้าของผู้ชายเยอะแยะ แต่ผมขี้เกียจเดินเลยหลบมาหาที่นั่งพักดื่มน้ำกับเขียนเล่าเรื่องนี้ต่อในเวลานี้ดีกว่า) เพราะอีกสักพักก็ต้องเดินทางไปเมืองเจนัวกันต่อ
เจนัว (Genoa) หรือเจโนวา (Genova ภาษาอิตาเลียน) เป็นอีกเมืองท่าสำคัญของอิตาลี ลองนึกถึงแผนที่อิตาลีตามไปนะครับว่าเป็นรูปร่างเหมือนรองเท้าบูธ ทุกด้านยกเว้นทิศเหนือติดกับทะเลทั้งหมด ดังนั้นจึงมีโอกาสเกิดเมืองท่าได้มากมาย เมืองเจนัวก็เช่นเดียวกัน อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลีติดกับทะเลลิกูเรียน (Ligurian) ดูไปท่าเรือเมืองเจนัวอยู่ในอ่าวของทะเลที่เว้าเข้ามาคล้ายๆ กับ จ.สมุทรสาคร ของไทยเรานั่นเอง เจนัวเป็นเมืองท่าเก่าแก่ สภาพบรรยากาศก็เหมือนเมืองท่าที่มีผู้คนมากมายหลากหลาย ดูไม่ใหม่เอี่ยมเป็นระเบียบสวยงามเป๊ะแบบเมืองธุรกิจแต่ก็ปะปนด้วยตึก โบสถ์ ที่แสดงถึงศิลปะและวัฒนธรรมโบราณของประเทศ ที่สำคัญเมืองเจนัวเป็นบ้านเกิดของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ที่ค้นพบอเมริกาอย่างเป็นทางการ ทำไมจึงบอกว่าอย่างเป็นทางการ ก็เพราะว่าก่อนหน้านั้นก็มีบรรดานักสอนศาสนาเดินทางไปอยู่ก่อนแล้ว (ต้องถือว่าเป็นการค้นพบด้วยสิจริงไหมครับ) แต่ด้วยความที่ไม่มีสปอนเซอร์จึงไม่มีเรื่องราวกลับมาเล่าให้คนรั่นหลังที่ทวีปหลักก่อนหน้า (เกร็ดความรู้: โคลัมบัสเองเขียนโครงการไปขอเงินอุดหนุนจากโปรตุเกสแต่ถูกปฏิเสธด้วยว่าใช้เงินมากเกินไป โคลัมบัสจึงไปขอการอุดหนุนจากสเปนแทน ซึ่งได้เงินมาและสามารถค้นพบทวีปอเมริกาอย่างเป็นทางการในที่สุด) หลังจากเดินเล่นและรับประทานอาหารจีนที่เมืองเจนัวจนเวลาพลบค่ำแต่ตะวันไม่ตกดิน (ในช่วงหน้าร้อนของประเทศอิตาลีนี้ ต้องสามทุ่มไปแล้วจึงจะเริ่มมืด) เราเดินทางกลับที่พักที่อยู่นอกเมืองออกมาราว 8 กม. เพื่อพักผ่อนและเตรียมเดินทางไปยังเมือง "ปิซา" ในวันรุ่งขึ้น
ชมหอเอนแห่งเมืองปิซา
หอเอนแห่งเมืองปิซา ที่จริงเป็นหอระฆัง เป็นส่วนประกอบของโบสถ์
เมืองปิซา (Pisa) เป็นบ้านเกิดของกาลิเลโอ กาลิเลโอเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ จนกว่าจะได้พิสูจน์เสียก่อน เมื่อเข้าเรียนหนังสือก็มีคำถามมากมายกับผู้สอนจนโดนไล่ออกจากมหาวิทยาลัยแห่งเมืองปิซาและต้องไปเรียนที่เมืองอื่นจนเรียนจบ และได้รับการว่าจ้างให้เป็นอาจารย์ตลอดชีวิต แต่ในที่สุดก็ลาออกแล้วมาสอนที่มหาวิทยาลัยแห่งเมืองปิซา กาลิเลโอทำการทดลองเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลกที่หอเอนปิซา (ที่จริงเป็นหอระฆังของโบสถ์ ใช้เวลาสร้างกว่า 300 ปี และก็เอียงมาตั้งแต่เริ่มสร้างได้เพียง 3 ชั้นแล้ว และแก้ไขเรื่อยมาจนสร้างครบ 8 ชั้นโดยชั้นที่ 8 ได้พยายามสร้างถ่วงน้ำหนักเอาไว้ แต่ชั้นอื่นๆ ก็ยังเอียงอยู่แบบนั้น ในสมัยของกาลิเลโอก็มีหอเอียงนี่อยู่เรียบร้อยแล้ว ยิ่งพอวิศวกรมาคำนวณว่าหอเอนปิซาจะล้มในอีก 200 ปีข้างหน้า นักท่องเที่ยวเลยมาดูกันใหญ่เลยก่อนที่มันจะล้ม - จะว่าไป ตอนล้มตามคำนวณก็คงไม่ได้เห็นหรอก) ในระหว่างนั้นได้ประดิษฐ์กล้องโทรทัศน์และศึกษาดวงดาวต่าง จนรู้ว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางของ (สุริยะ)จักรวาล ซึ่งขัดกับคำสอนของคริสตศาสนา กาลิเลโอได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งตีพิมพ์ที่เนเธอแลนด์เรื่องสุริยจักรวาลจนในที่สุดก็ถูกจับและบังคับให้กินยาพิษ (นึกถึงเรื่องราวหลายอย่างที่เป็นความจริงแต่ผู้มีอำนาจไม่สามารถยอมรับได้ อาจจะเพราะความเชื่อเดิมหรือกลัวสูญเสียอำนาจ จำต้องกำจัดให้หมดไป ช่างน่าเสียดายจริงๆ)
เมืองคาร์รารา
ในขณะที่เราเดินทางจากเมืองเจนัวไปยังเมืองปิซา เราต้องผ่านเมืองคาร์รารา ซึ่งเป็นเมืองทำหินอ่อนที่สวยงาม ส่วนหนึ่งนำมาสร้างวัดเบญจมบพิตรที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี พูดถึงเมืองปิซา ครั้งหนึ่งรัฐบาลอิตาลีสั่งปิดหอเอนปิซาเนื่องจากกลัวว่าจะล้มลงมา แต่ไม่นานก็ถูกประท้วงจากชาวเมืองเพราะนักท่องเที่ยวหายไปหมด ในที่สุดก็ต้องเปิดหอเอนอีกครั้งหนึ่งโดยตั้งวิธีการเข้าชมให้ขึ้นครั้งละไม่เกินจำนวนคนที่กำหนด และก็ใช้กฏเกณฑ์นั้นมาจนถึงทุกวันนี้ การไปเยี่ยมหอเอนแห่งเมืองปิซาครั้งนี้ที่จริงก็ไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่าการถ่ายรูปเป็นที่ระลึก แต่เมื่อไปถึงสิ่งที่เห็นคือหอเอนที่ถูกสร้างและประดับด้วยหินอ่อนที่สวยงามมาก (ก่อนไป นึกภาพว่าเป็นหอเอนที่สร้างจากการก่ออิฐถือปูนธรรมดา) นอกจากนั้นยังมีตัวโบสถ์และหอศีลจุ่มซึ่งสวยงามไม่แพ้กันอยู่ในบริเวณเดียวกันอีกด้วย
หลังจากการเยี่ยมชมหอเอนแห่งเมืองปิซาแล้ว เราก็เดินออกมานอกบริเวณวิหาร (เพราะต้องถือว่าตัวหอเอนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของวิหาร ไม่ได้ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว) ก็แวะซื้อของฝากของที่ระลึกเล็กน้อยก่อนเดินทางไกลกว่า 4 ชั่วโมงเพื่อกลับมายังกรุงโรมอีกครั้งหนึ่งเพื่อเตรียมเดินทางกลับประเทศไทยในวันต่อไป
เป็นการเยือนตอนเหนือของอิตาลี
จะเห็นว่าการเดินทางครั้งนี้เป็นการชมด้านกลางและเหนือของประเทศอิตาลี โดยมีกรุงโรมที่เป็นเมืองหลวงในปัจจุบันอยู่บริเวณตอนกลางของประเทศ จากนั้นเดินทางขึ้นเหนือไปถึงมิลาน (มิลาโน ในภาษาอิตาลี) ซึ่งจะว่าไปก็ห่างจากพรมแดนสวิสเซอแลนด์ไม่กี่ร้อยกิโลเมตร แต่คราวนี้ประเทศสวิสเซอแลนด์ไม่ได้รวมอยู่ในการเดินทางด้วย ก็คงต้องเอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน คงได้มีโอกาสไปเยือนแน่นอน
เมื่อกลับมาถึงกรุงโรม คณะของเรานอนพักที่โรงแรมชานกรุงโรมอีกหนึ่งคืนเป็นคืนสุดท้าย พอรุ่งเช้าก็ออกจากโรงแรมราว 09:30 น. เพื่อมายังสนามบิน หลายคนในคณะซื้อของต่างๆ ที่สามารถลดภาษีได้มาจากในเมือง ก็ต้องมาทำการขอคืนภาษีที่สนามบิน โดยสามารถขอคืนเป็นเงินสดหรือคืนในบัตรเครดิตก็ได้ การขอคืนภาษีมีเงื่อนไขว่าต้องแสดงของให้เจ้าหน้าที่ดู (ถ้าเขาขอดู ถ้าไม่ดูก็แล้วไป แต่ต้องแบกไปเตรียมให้ดูด้วย) ต้องเป็นของใหม่ไม่เคยใช้งาน (เช่น นาฬิกา แหวน สร้อย ต้องอยู่ในกล่อง จะสวมใส่ไปไม่ได้) ยกเว้น กระเป๋าเดินทาง เสื้อกันหนาว รองเท้า ซึ่งอนุโลมให้ใช้งานได้ (ไปยกเท้าให้ดูได้) ตัวผมเองแทบจะไม่ได้ซื้ออะไรกลับมาด้วยนอกจากของฝากเล็กๆ น้อยๆ ใจจริงแล้วอยากจะซื้อหุ้นกลับมามากกว่า (ฮา..) แต่ด้วยความที่เป็นนักลงทุนแนววีไอ เราย่อมต้องคิดคำนวณเรื่องต่างๆ ก่อนการลงทุน ถ้าไม่สามารถคำนวณได้ต้องถือว่าเสี่ยงและเข้าเกณฑ์ของการเก็งกำไร ซึ่งกับหุ้นต่างประเทศที่ไกลมือแล้วจะต้องบอกว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงยิ่งขึ้นไปอีก
สุดท้ายก็หวังว่าเพื่อนๆ นักลงทุนจะได้ทั้งความรู้และความบันเทิงไปพร้อมๆ กันกับการอ่านเรื่องราวนี้นะครับ ไว้คราวหน้าหากมีโอกาสเดินทางไปที่ใดอีกก็จะพยายามเก็บเรื่องราวมาเล่าให้อ่านกันอีกนะครับ
สรุปสิ่งที่สังเกตเห็นในการมาเยี่ยมชมประเทศอิตาลีคราวนี้ (และอาจเป็นประโยชน์ในการลงทุนในอนาคต) เช่น
- อุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นอุตสากรรมหลักหนึ่งของประเทศ รถยนต์ที่เห็นใช้งานทั่วไปเช่น Audi, MB, VW, BMW, Nissan, Hyundai, Kia ทุกขนาด ส่วนมากเป็นรถใช้งานมากกว่ารถสปอร์ต รถญี่ปุ่นและอเมริกันเห็นได้น้อยกว่ามาก
- แม้แต่เมืองกำเนิดของ Alfa Romeo อย่างเจนัวก็ยังเห็นรถ Alfa Romeo ได้น้อยมาก
- จะว่าไป เห็นรถยนต์ Ferrari น้อยมาก (2 คัน) ออกจะผิดหวังสักหน่อย จำได้ว่าตอนไปเยอรมันยังเห็นได้มากกว่าเยอะ
- หลายเมืองของอิตาลีเป็นเมืองท่า (ปิซา, เจนัว) มีรายได้จากธุรกิจเหล่านั้น หลายเมืองเป็นเมืองท่องเที่ยว ก็เป็นรายได้หลักของเมืองเหล่านั้นรวมทั้งของประเทศด้วย
- การเกษตร มีการจัดการน้ำที่ดี พื้นที่จำนวนมากสามารถทำการเกษตรได้ เห็นพื้นที่จำนวนมากปลูกองุ่น ข้าวต่างๆ ทั้งการป้องกันน้ำท่วมที่ดี
- รถยนต์ส่วนมากยังเป็นรถที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงธรรมดา มีรถขนาดจิ๋วให้เห็นอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่การจราจรติดขัดและพื้นที่จอดรถน้อย
- ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางท่องเที่ยวแถบยุโรปคือช่วงหน้าร้อน (ช่วงเวลานี้ล่ะ) เพราะเวลากลางวันยาวนาน พระอาทิตย์ขึ้นเร็วและตกช้า 18:00-19:00 น. ยังถ่ายรูปได้สวยอยู่
- คนขับรถ มีระเบียบวินัยมาก ในเมืองจะหยุดที่ทางม้าลายให้คนข้ามเสมอ (จนบางที คันหลังเกือบชนคันหน้า แต่ก็ถือเป็นความรับผิดชอบของคนขับตามหลังที่ต้องเว้นระยะเผื่อการหยุดรถของตัวเอาเอง) ในไฮเวย์ คนขับรถบรรทุกรักษากฏจราจรและไม่ขับเร็วเกินกำหนด การสอบใบขับขี่เสียค่าใช้จ่ายสูงมากและยาก
- เริ่มเห็นการใช้พลังงานทดแทนต่างๆ เช่น ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ตามหลังคาอาคาร โซล่าร์ฟาร์ม แต่ในเมืองที่ผ่านไปยังไม่เห็นการใช้พลังงานลม (ต่างจากที่เห็นในประเทศเยอรมนี อาจจะเพราะกระแสลมไม่แรงหรือไม่สม่ำเสมอเท่า)
- อาหารส่วนมากเน้นแป้ง ไม่ค่อยเห็นผักเท่าไร ต่างจากในประเทศตุรกีที่มีผักมากมายให้เลือกกินได้ (ตุรกี อุดมสมบูรณ์ด้านการเกษตรมาก เป็นประเทศที่ไม่จำเป็นต้องนำเข้าอาหาร) ที่อิตาลีจึงมีน้ำอัดแก้สที่ได้รับความนิยมกินเพื่อช่วยการย่อยอาหารได้บ้าง
- เนื่องจากอยู่ในกลุ่มประเทศยุโรป ผู้คนเดินทางไปมาระหว่างประเทศในกลุ่มได้อย่างเสรี จะเห็นรถยนต์ทะเบียนต่างประเทศเข้ามาวิ่งไม่น้อย ในช่วงวันหยุด คนอิตาลีมักจะเดินทางออกนอกเมืองเพื่อการท่องเที่ยว
- เนื่องจากอยู่ในกลุ่มประเทศยุโรป อิตาลีจึงใช้เงินยูโร มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจดี (ประเทศแถบยุโรปที่ยังไม่เข้าร่วมกลุ่มและใช้เงินสกุลของตัวเองก็เช่น อังกฤษ สวิสเซอร์แลนด์ เป็นต้น)
- ตลาดหลักทรัพย์ของอิตาลีชื่อว่า Borsa Italiana ตั้งอยู่ในกรุงมิลาน (ไม่ใช่กรุงโรม) และมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินทั้งหุ้นสามัญ หุ้นกู้ หุ้นของบริษัทขนาดใหญ่สภาพคล่องสูง หุ้นของบริษัทนวัตกรรมและเทคโนโลยี ทำการซื้อขายกันอยู่ ปัจจุบัน (2 มิ.ย. 2559) ดัชนีอยู่ที่ 19577.67 จุดและต่ำลงจากต้นปี -15.74% ครับ