สวัสดีเพื่อนนักลงทุนทุกท่านนะครับ หายหน้าหายตากันไปนานนับเวลาแล้วน่าจะปีกว่าๆ เลยทีเดียว หลายคนคงจะต้องผ่านช่วงเวลาที่ค่อนข้างยากลำบากมากในตลาดหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเก่งกำไรในตัวหุ้นที่คาดหวังกับการลงทุนระยะสั้นระยะเวลาที่ผ่านมาไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะสามารถทำกำไรระยะสั้นได้ง่าย ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลงจาก 1,852.51 จุดเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 ลงยาวๆ มีวูบวาบบ้างตลอดมาจนถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2561 ที่ 1,546.62 จุดหรือปรับลงมา 16.5% ซึ่งนับว่าหนักหนามากสำหรับนักลงทุนส่วนมาก (ในขณะที่นักลงทุนแบบ VI ก็ได้รับผลกระทบ แต่จะว่าไปเราไม่ได้ตกใจเท่าไรนัก) โดยส่วนตัวแล้ว กับช่วงที่ผ่านมา “ผมยังคงมีหุ้นเต็มพอร์ต” เสมอ อาจจะปรับขยับตำแหน่งบ้างนานๆ ครั้งแต่ก็น้อยมาก ช่วงก่อนที่หุ้นจะปรับตัวลงยาว ผมก็ขายทำกำไรบางส่วนออกไป เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจอื่น จัดการถ่ายเอาเงินลงทุนออกไป ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงทั้งหมดเป็นส่วนของกำไรเท่านั้น
หุ้นกับสภาพเศรษฐกิจ
ทุกครั้งที่ตัวเอง ถูกถามด้วยคำถามนี้ หรือ ถามตัวเองด้วยคำถามนี้ก็ตาม ต้องมี “ประโยคบอกเล่า” ตามมาอีกหนึ่งประโยคคือ “เราไม่ควรคาดการณ์เศรษฐกิจ เพราะอะไร เพราะเราไม่รู้จริงๆ หรอกว่ามันจะไปในทิศทางไหน ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกของระบบเศรษฐกิจเอง ในประเทศ ก็เช่น การบริหารงานของรัฐบาล หรือภายนอกประเทศก็เช่น นโยบายแปลกๆ ของผู้นำประเทศใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อประเทศอื่น ล่าสุด ก่อนหน้านี้ สองสามเดือน โดนัล ทรั้มพ์ ก็ทำท่าตั้งแง่มีปัญหากับจีน จีนเองก็ตอบโต้แต่ดูเหมือนจะสุขุมกว่า ทำไปทำมาไม่นาน ก็พูดคุยตกลงกันรู้เรื่องเรียบร้อย (ผมคาดเรื่องนี้ไว้แล้ว ว่าไม่มีอะไรน่าห่วงมาก เศรษฐกิจของทั้งคู่เกี่ยวกันอยู่แล้ว และถ้ามีปัญหาจริงๆ คนต้นเหตุดูจะเดือดร้อนกว่าเสียด้วยซ้ำ เลยเลิกเหตุก่อนคงเป็นการฉลาดที่สุด)
ออกนอกเรื่องไปไกล กลับมาตรงคำว่า เราไม่ควรคาดการณ์เศรษฐกิจ ก็เพราะว่ามันคาดการณ์ไม่ได้ ในเรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่าให้เราอยู่เฉยๆ ไม่ต้องสนใจไม่ต้องทำอะไรเลย แต่เป็นการบอกโดยทางอ้อมว่าเราจะต้องเลือกลงทุนในธุรกิจที่ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจให้น้อย แม่รู้ธุรกิจแทบทั้งหมดมันก็ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจด้วยมันก็ขึ้นอยู่มากน้อยไม่เท่ากัน ถ้าเราจะลงทุนกับธุรกิจที่ไม่ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจเลย ส่วนใหญ่แล้วธุรกิจอย่างนี้จะเติบโตไม่มากนักแต่ก็ค่อนข้างปลอดภัยในการลงทุน ถ้าเราซื้อมาได้ในราคาที่ถูกผิดปกติยิ่งปลอดภัยเพิ่มขึ้น เรียกว่ามีส่วนเพื่อเพื่อความปลอดภัยสูงขึ้น การลงทุนกับธุรกิจที่ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจมากขึ้นก็ค่อนข้างหวือหวาขึ้น ถ้าโชคดีจังหวะถูกต้องก็ได้รับผลกำไรจากการลงทุนค่อนข้างมาก ดังนั้นสำหรับนักลงทุนแล้วคงมีคำแนะนำทั่วไปว่าเราสามารถจัดพอร์ตการลงทุนในธุรกิจที่ขึ้นกับสภาพเศรษฐกิจมากน้อยต่างกันได้
เวลานี้สภาพเศรษฐกิจเป็นเช่นไร
เรื่องของภาพรวมเศรษฐกิจแบบทั่วๆ ไป เพื่อนๆ นักลงทุนคงสามารถหาอ่านได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือบทวิเคราะห์ทั่วไปอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมอยากชี้ให้เห็นคือ โดยความจริงแล้ว สิ่งที่รัฐบาล (ของประเทศใดๆ) ควรทำเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจคือ การสร้างรากฐาน เตรียมสิ่งจำเป็น ส่งเสริมให้ประชาชนสร้าง “มูลค่าเพิ่ม” ให้ได้มากและมากขึ้นๆ มูลค่าเพิ่มเหล่านี้จะมาจาก การคิด ผลิต สิ่งใหม่ๆ เพื่อใช้เองภายในประเทศ ค้าขาย ส่งออก กระตุ้นให้ทุกคนทำงานสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งเสริมการใช้จ่ายจากมูลค่าเพิ่มที่ทุกคนสร้างขึ้นมา เศรษฐกิจก็จะหมุนเวียนเติบโต รัฐจะเก็บภาษีได้มากขึ้น “บนความสุขของประชาชน” (เงินเฟ้อจะตามมา แต่ ผลกำไรส่วนบุคคลจะเติบโตไปก่อนหน้า) แต่ตราบใดที่เรายังไม่เห็นสัญญาณของการทำงานของภาคประชาชนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มดังกล่าว ในมุมมองของผมแล้ว เราจะบอกว่าเศรษฐกิจดี ไม่ได้
แล้วลงทุนอย่างไรในปี 2562
ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ ที่ “บรรยากาศการสร้างมูลค่าเพิ่ม (คือ คนอยากทำ ทำแล้ว คนซื้อซื้อง่าย คนขายขายคล่อง) ยังไม่มีทีท่าจะสดใส เราคงต้องระวังในการลงทุน
1) ปรับพอร์ตถือเงินสดเพิ่มบ้าง
2) เปลี่ยนมาถือหุ้นที่เป็น defensive stock เพิ่มมากขึ้น
3) วางแผนการเงินส่วนบุคคลให้ดี (รายได้ มากกว่า รายจ่าย)
4) มีรายได้หลายทาง
เมื่อถึงเวลาสมควร ก็ขยับปรับเปลี่ยนการลงทุนต่อไปตามสภาพครับ
หายไปนาน กลับมาแล้วเลยคุยยาวหน่อย แล้วผมจะกลับมาคุยด้วยบ่อยขึ้นนะครับ