วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556

ทำอย่างไรจึงกำไรหุ้นมากๆ

 

เชื่อว่า เพื่อนๆ หลายๆ คนที่เข้ามาในตลาดหุ้น หรือที่เรียกให้สวยงามฟังเพราะเป็นทางการหน่อยก็คือ "ตลาดหลักทรัพย์" คงมีเหตุผลร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ต้องการทำให้เงินที่มีอยู่งอกเงยไปมากกว่าเดิม ซึ่งจะเห็นได้อย่างขัดเจนโดยเฉพาะในช่วงเวลาสองสามปีที่ผ่านมานี้ว่า การซื้อหุ้นไว้ในเวลาที่ถูกต้อง คือเมื่อหุ้นมีราคาต่ำมากๆ เมื่อมาดูอีกทีก็ปรากฏว่าราคาได้เพิ่มขึ้น ทำกำไรให้กับผู้ที่ซื้อหุ้นเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม ในตลอดช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา มีนักลงทุน หรือผู้ที่ซื้อ/ขายหุ้น เข้าๆ ออกๆ ในตลาดหุ้นมาแล้วหลายต่อหลายรุ่น ส่วนมากที่ต้องออกไปก็เพราะไม่ประสบผลสำเร็จในการลงทุน (ซึ่งเป็นคำสุภาพกว่าของคำว่าล้มเหลวนั่นแหละครับ) เหตุผลหลักๆ ของการไม่ประสบความสำเร็จ อาจจะหาอ่านได้ในบทความเรื่อง สุดยอด 10 วิธีที่จะทำให้ท่านเจ๊งหุ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนคำถามตรงกันข้ามกัน (ที่น่าจะฟังดูดีกว่ามาก) ก็คือ ทำอย่างไรถึงร่ำรวยจากหุ้นได้?

จากประสบการณ์ส่วนตัว (คือส่วนตัวจริงๆ นะครับ อาจจะต่างจากท่านอื่นก็ได้) การที่นักลงทุนคนหนึ่งจะได้กำไรหุ้นมากๆ มี 3-4 วิธีหลักๆ คือ

1) ซื้อราคาแบกับดิน ขายราคาปกติ
แบบนี้เรียกว่าได้กำไรตอนซื้อ ใครที่ประสบความสำเร็จในการซื้อขายที่ดินหรือบ้านมือสอง/มือสาม จะทราบวิธีการนี้ดี คือกำไรเพราะซื้อหุ้นตอนราคาถูกเกินไปประมาณว่ามีหุ้นของบริษัทหนึ่ง ที่ก็มีกำไรสม่ำเสมอของตัวเองอยู่ที่ 1 บาทต่อหุ้น แต่ราคาหุ้นที่เคยอยู่ 8-12 บาทกลับร่วงลงมาเหลืออยู่ 5-6 บาท ด้วยเหตุอะไรก็ตาม ที่ไม่ได้เกี่ยวกับพื้นฐานของธุรกิจ หากเห็นแบนี้เราก็สามารถพิจารณาเข้าไปซื้อ หลังจากนั้น เมื่อราคาหุ้นปรับกลับมาเป็นราคาปกติของมันเอง เราก็ได้กำไรแล้ว เรียกว่าซื้อตอนคนตกใจ อยากขาย จำเป็นต้องขาย หรือไม่เห็นคุณค่าของหุ้นนั้นด้วยเหตุอะไรก็ตาม

2) ซื้อหุ้นเติบโตเร็ว ราคาไม่รวมอนาคตมากนัก
หุ้นแบบนี้ มักจะมีราคาค่อนข้างแพง คือระดับของ P/E ในปัจจุบันนั้นค่อนข้างสูง (ส่วนมากมักจะเกิน 15) แต่ต้องเรียกว่ากิจการเติบโตเร็วแบบเห็นๆ (ไม่ใช่ราคาเติบโตนะครับ อันนั้นอาจจะเป็นด้วยสาเหตุอื่นใดก็ได้) ตัวอย่างเช่น วันนี้กำไรต่อหุ้น 1 บาท ราคาหุ้นบนกระดานซื้อขายกันอยู่ที่หุ้นละ 10 บาท แต่เราสามารถคาดการณ์ได้ว่าปีหน้า น่าจะได้กำไรต่อหุ้น 1.5 บาท ปีต่อไปจะเป็น 1.6, 1.7 เรื่อยไป แบบนี้ลองคิดดูว่ารวมแล้วกี่ปีจะคืนทุน ก็เหลือไม่กี่ปี อย่างนี้ก็ลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาที่จะโตเพื่อสามารถคืนทุนได้นี้ ถ้ายิ่งสั้นก็ยิ่งดี เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่า เมื่อเวลายืดยาวออกไป สิ่งที่คาดการณ์ไว้จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ยิ่งเวลาผ่านไปนาน สิ่งต่างๆ ยิ่งเปลี่ยนไปได้มาก ยกเว้นหุ้นที่เป็นพื้นฐานจริงๆ หรือเรียกว่ามี "กำลังภายใน" บางอย่าง แบบนี้ก็สบายใจได้เพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย

3) หุ้นฟื้นตัว
ธุรกิจก็เหมือนกับคนเรา บางครั้งอาจจะเกิดความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ทำให้ถึงกับต้องเจ็บป่วยลงไป บางบริษัทถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อเข้าไอซียู ในตลาดหลักทรัพย์ก็เรียกว่าเข้าสู่หมวดฟื้นฟูกิจการ งบการเงินของบริษัทเหล่านี้แทบไม่ต้องพูดถึง เรียกว่าดูไม่ได้กันเลยเชียว ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ (เรียกว่าหนี้สินล้นพ้นตัว ขายของทุกอย่างที่มีแล้วก็ยังไม่สามารถใช้หนี้ได้หมด) อย่างไรก็ตาม นักลงทุนบางท่านอาจจะสามารถหยั่งรู้ได้ถึงพื้นฐานที่กำลังจะเปลี่ยนไปของบริษัท จึงเข้าไปซื้อหุ้นเอาไว้ จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป จากบริษัทที่เคยขาดทุนอยู่กลับได้กำไร ราคาหุ้นที่เคยตกต่ำต้อยติดดิน (เพราะทุกคนล้วนขายออกมาเนื่องจากว่ากลัวเจ๊งนั่นล่ะครับ) กลับฟื้นตัวไปตามกำไรที่บริษัททำได้ แบบนี้ก็ทำให้นักลงทุนนั้นได้กำไรเป็นกอบเป็นกำได้เช่นกัน

4) หุ้นยอด(ไม่)นิยม หุ้นถูกลืม หุ้นที่ยังไม่มีใครรู้จัก
โดยส่วนตัว ผมชอบหุ้นไม่เป็นที่นิยม พวกนี้มักเป็นหุ้นของบริษัทขนาดเล็ก ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก โทรให้พนักงานโบรกเกอร์ซื้อก็ถามแล้วถามอีกว่าตัวย่ออะไร นักวิเคราะห์ก็ไม่รู้จัก แต่ทำกำไรสม่ำเสมอและเติบโตไปเรื่อยๆ หุ้นเล็กๆ แบบนี้น่าสนใจมากเพราะราคามันจะ "ผิด" ไปจากที่ควรจะเป็น คือส่วนมากจะถูกเกินไป ซึ่งตรงกันข้ามกับหุ้นยอดนิยมซึ่งมีคนมารุมดูกันมากๆ ช่วยกันคิดนั่น คำนวณนี่ ทำให้ราคามันมักจะถูกต้อง (อย่างน้อยก็กับผลประกอบการในปัจจุบันของธุรกิจนั้นและอนาคตที่มองเห็นกันอยู่) คือรวมอนาคตไว้หมดแล้ว เราก็หมดโอกาสซื้อได้ราคาถูกๆ ดังนั้นกับนักลงทุนที่ทำการบ้านหาบริษัทที่ดีแต่ยังไม่มีใครเห็นที่ราคาต่ำกว่าพื้นฐาน และเข้าไปลงทุน ก็มีโอกาสทำกำไรในอนาคตได้

นอกจากนั้น ก็ยังมีบางคนที่สามารถทำเงินจากหุ้นบางประเภทที่ราคาพุ่งพรวดขึ้นมาได้เช่นกัน แต่คำถามก็คือ จะได้กำไรแบบจริงจังอย่างสบายใจ ไม่ต้องเฝ้าดูราคาหุ้นที่เมื่อเปิดตลาดในอีกวันหนึ่งแล้วจะ "กระโดดลง" ขนาดไหน หรือวินาทีใดวินาทีหนึ่งของวันใดวันหนึ่ง ราคาจะหลุดร่วงไปเป็นเท่าไร ในขณะที่การถือหุ้นนั้นไว้ก็ไม่ได้มีผลตอบแทนอะไร เนื่องจากปันผลก็ไม่มี (ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า หุ้นที่ไม่ได้จ่ายปันผล เป็นหุ้นที่ไม่ดีนะครับ) เรียกว่าไม่ได้ผลตอบแทนอะไรในขณะที่ถือครองสินทรัพย์นั้นไว้

ทั้งนี้ การที่จะได้กำไรมากหรือน้อยนั้น จะต้องขึ้นกับจังหวะเวลาด้วย นั่นคือเพื่อนๆ ต้องซื้อหุ้นที่ถูกตัว ถูกราคา และสามารถรอได้ ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาเพื่อให้สิ่งที่เราลงทุน คือรอให้บริษัทที่เราได้ซื้อหุ้นเป็นเจ้าของนั้น ได้ดำเนินกิจการจนได้ดอกผลกำไรเพิ่มขึ้นๆ โดยเราแทบไม่ต้องทำอะไรเลย แต่การรวยด้วยวิธีนี้ก็ไม่เร็ว เข้าทำนองที่ว่า "รวยง่ายก็ไม่เร็ว" อย่างไงล่ะครับ