วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

จัดพอร์ตอย่างไรให้เหมาะสม



เมื่อเราเริ่มลงทุนสิ่งที่จะต้องพิจารณาและหลบเลี่ยงไม่ได้ก็คือการซื้อหุ้นต่างๆเก็บไว้ในพอร์ตโฟลิโอหรือบัญชีซื้อขายของเรา และไม่มีข้อจำกัดว่าเราจะซื้อหุ้นของกี่บริษัทเก็บไว้ในบัญชีนี้ อาจจะเพียง 1 บริษัทหรือ 100 บริษัทก็ไม่มีใครว่าอะไร ความเหมาะสมที่สุดล่ะเราควรจะมีหุ้นของกี่บริษัทดี
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตอบยากมากต่างคนก็ต่างความคิดและมีความสุขต่างกันไป บางคนอาจจะต้องการมีหุ้น 20 - 30 บริษัทหรือมากกว่าไม่ว่าขนาดของบัญชีซื้อขายของตนเองจะมีขนาดเท่าไรแต่ก็มีความสุขกับการมีหุ้นมากบริษัทเอาไว้ในบัญชีของตนเอง ในขณะที่บางคนต้องการมีคุณเพียง 2 ถึง 3 บริษัทเท่านั้นก็มี

โดยคนที่ต้องการมีหุ้นของหลายบริษัทเอาไว้ในบัญชีของตัวก็อาจจะมีเหตุผลว่าต้องการกระจายความเสี่ยงมากๆ หรืออาจจะรักชอบหลายบริษัท หรืออาจจะมีความเห็นว่าจะได้มีโอกาสที่หุ้นเพิ่มราคาสูงขึ้นไปได้มากขึ้นเพราะถือหุ้นอยู่หลายบริษัท ส่วนคนที่มีคนจำนวนน้อยบริษัทอยู่ในบัญชีอาจจะมีเหตุผลว่าเลือกไม่ถูกมีบริษัทจำนวนน้อยมากที่ตัวเองชอบหรือมีบริษัทจำนวนน้อยมากที่ตัวเองเข้าใจในธุรกิจของบริษัทเหล่านั้น แต่ในความเป็นจริงเมื่อจะพิจารณาว่าในบัญชีลงทุนบัญชีหนึ่งๆ ควรจะมีหุ้นของกี่บริษัทคงจะอาศัยความชอบหรือความรู้สึกไม่น่าจะถูกต้องนัก แต่ควรอาศัยความน่าจะเป็นในการทำกำไรเป็นหลักมากกว่า

โดยหลักการแล้วถ้าเรามีหุ้นของหลายบริษัทมาอยู่ในบัญชีการลงทุน การขึ้นลงของมูลค่าบัญชีมักจะมีทิศทางไปในทิศทางเดียวกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (ยกเว้นแต่ว่าผู้ลงทุนคนนั้นสามารถเลือกหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงของราคาตรงกันข้ามกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์เข้ามาไว้ในบัญชีได้จำนวนหลายบริษัท ซึ่งในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยากมาก) ดังนั้นถ้าเราต้องการผลตอบแทนเพียงเป็นไปตามดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ยังมีทางเลือกในการลงทุนอื่นที่เหนื่อยน้อยกว่ามาก เช่น ซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนที่ลงทุนให้ผลตอบแทนตามดัชนีเป็นต้น และในเมื่อเราต้องการที่จะลงทุนเองและมีโอกาสที่จะได้กำไรสูงกว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์และเมื่อเกิดการขาดทุนก็ต้องการให้มีการขาดทุนน้อยกว่าระดับดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ เราจึงไม่ควรถือหุ้นมมากบริษัทเกินไปนัก (ยกเว้นแต่ว่าเรามีความสามารถในการหาหุ้นที่มีราคาซื้อขายต่ำกว่าราคาที่แท้จริงได้หลายบริษัทจริงๆ เท่านั้น)

อีกข้อดีของการมีหุ้นจำนวนน้อยบริษัทอยู่ในบัญชีการลงทุนก็คือ เราสามารถติดตามทั้งผลประกอบการ แนวโน้มของธุรกิจ และพฤติกรรมของราคาของหุ้นจำนวนไม่กี่ตัวนั้นได้ง่ายกว่าการที่มีหุ้นจำนวนมากมายหลายบริษัทอยู่ในบัญชีการลงทุน ทั้งนั้นโดยทั่วไปแล้วถ้าเรามีเงินลงทุน:

. 1 ล้านบาทหรือน้อยกว่า ไม่ควรมีหุ้นเกิน 3-5 บริษัท
. ประมาณ 5 ล้านบาทควรมีหุ้นไม่เกิน 5 - 7 บริษัท
. ประมาณ 10 ล้านบาทก็ไม่น่าจะมีหุ้นมากเกินกว่า 10 บริษัท
. 20 ล้านบาทหรือมากกว่า อาจจะเลือกหุ้นของมากบรืษัทขึ้นได้

ทั้งนี้ก็ต้องไม่ลืมว่าการที่มีหุ้นของหลายบริษัทอยู่ในบัญชีการลงทุนนั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีจำนวนเท่ากันของเงินลงทุน มันคือเราจะซื้อหุ้นของบริษัทที่ 1 จำนวน 1 ล้านบาทหุ้นของบริษัทที่ 2 จำนวน 2 ล้านบาทและหุ้นของบริษัทที่ 3 เป็นจำนวน 500,000 บาทก็ได้ โดยการพิจารณาจากความถูกต้องเพลงของคุณนั้นผมรมข้างเงินปันผลที่จะได้รับหุ้นของบริษัทได้มีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับมูลค่าที่เหมาะสมและ/หรือมีอัตราเงินปันผลที่สูง เราก็สามารถเน้นการลงทุนไปที่หุ้นของบริษัทนั้น คือซื้อเป็นจำนวนเงินมากเป็นพิเศษกว่าหุ้นของบริษัทอื่นก็ได้ ทั้งนี้แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีกฎตายตัวในการจัดบัญชีการลงทุนของแต่ละบุคคลตราบใดที่รู้สึกมีความสุขและการจัดบัญชีนั้นยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีไม่ยิ่งหย่อนกว่าดัชนีของตลาดหลักทรัพย์นั่นเอง