หลายคนที่เข้ามาอ่านในบล็อกนี้น่าจะเคยซื้อขายหุ้นกันมาแล้ว หรือไม่ก็ทำมาเป็นประจำ และมีทั้งได้กำไรและขาดทุน ซึ่งต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา บางคนอาจจะบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาของการลงทุน ตรงนี้ผมอาจจะขอขัดจังหวะสักนิดเพราะมีคำว่า "การลงทุน" มาเกี่ยวข้องด้วย และนิยามของคำว่าการลงทุนนั้นค่อนข้างซับซ้อน และเหมือนกับกระจุกแหที่พันกันอยู่ ถ้าไม่มีใครไปคลี่หรืออธิบายให้ชัดเจนก็มักจะงงๆ ปนๆ กันอยู่เหมือนเดิม เพราะถ้าจะพูดกันเรื่องนิยามของ "การลงทุน" แล้วก็มักจะหมายความประมาณว่า การใช้สิ่งที่เรามี (ไม่ว่าจะเป็นเงิน แรงงาน แรงกาย ทรัพย์สินอื่นใด) ในลักษณะต่างๆ โดยหวังจะได้รับผลตอบแทนกลับมามากกว่าที่ลงหรือจ่ายออกไปในอัตราที่พอใจภายใต้ความเสี่ยงที่เหมาะสม จะเห็นว่ามีคำสำคัญอยู่สองคำก็คือ "ได้รับผลตอบแทน" และ "ความเสี่ยงที่เหมาะสม" ดังนั้นพอเราเข้าใจตามนี้ บางคนก็เลยมองว่าการนำเงินไปซื้อๆ ขายๆ หุ้น (ก็มีโอกาสได้กำไรนี่) แล้วได้กำไรบ้างไม่ได้กำไรบ้าง (ก็มีความเสี่ยงบ้างล่ะ บางคนอาจจะคิดว่าความเสี่ยงระดับ 50-50 ก็ถือว่าเหมาะสมนะ) จึงกลายเป็นการลงทุนไปทั้งหมด เรื่องวุ่นวายก็เริ่มขึ้นจากนิยามของคำนี้นั่นเอง
สำหรับนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จแล้ว การมีความเสี่ยงระดับ 50-50 นั้นถือว่า "ยอมรับไม่ได้" เลยด้วยซ้ำไป นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จแทบทุกคนจะเกลียดความเสี่ยงทั้งสิ้น และหากมีความเสี่ยงเกิดขึ้น จะต้องมีผลที่อาจจะได้รับมากกว่าความเสี่ยงนั้นอยู่ในปริมาณ/จำนวนที่มากมาย จึงเป็นสิ่งที่น่าลงทุน ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นก็เช่น คนทั่วไปอาจจะคิดว่าการได้กำไร 10% หรือไม่ก็เสีย 10% ในแบบ 50-50 (คือมีโอกาสได้กำไรและเสียหายเท่ากัน) นั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ในขณะที่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักจะไม่มองแบบนั้น แต่จะพยายามหาสภาวการณ์ที่หากได้กำไรต้องได้มากกว่าเมื่อเกิดการเสียหายขึ้น (เช่น ถ้าคิดถูกต้องจะมีโอากาสได้กำไร 60% แต่หากเสียจะเสียหายเพียง 10%) และมีโอากสได้กำไรมากกว่าการมีโอกาสเสียหาย (เช่น มีโอกาสได้กำไร 80%) หลายคนอาจจะคิดว่าเรื่องแบบนี้มีด้วยหรือ เพราะเคยได้ยินแต่ว่า High Risk High Return มาตลอดจนคิดว่าในโลกนี้ต้องเป็นแบบนั้นไปเสียทั้งหมด - ซึ่ง มีการพิสูจน์มานับครั้งไม่ถ้วน ในสถานการณ์ไม่มากมาย ว่าคำพูดนั้นไม่เป็นความจริง และผมได้เคยเขียนไว้บ้างแล้วในเรื่อง High Risk - High Return เสมอไปจริงๆ หรือ
จะเห็นว่า "การลงทุนที่ดี" จะต้องเป็นการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงในขณะที่ความเสี่ยงต่ำ และถ้าจะให้นิยามแบบง่ายๆ ว่าการได้ผลตอบแทนมากกว่าที่ลงทุนไปว่าเป็นการ "เก็งกำไร" (speculation) แล้วล่ะก็ การลงทุนที่ดีในแบบ Value Investment (VI) ก็คงต้องถือว่าเป็นการเก็งกำไรด้วยเช่นกัน แต่การลงทุนที่ดีนั้นเป็นการเก็งกำไรที่อยู่บนพื้นฐานของความสามารถในการประกอบการของธุรกิจที่จะสร้างผลกำไรขึ้นมาและนำพาให้ราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้น และ/หรือ ผู้ลงทุนได้รับเงินปันผลหรือผลประโยชน์อื่นใด (เช่น หุ้นปันผล, การแจกเอกสารสิทธิฟรี เป็นต้น) ที่่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าตามควร คือคาดการณ์ผลประกอบการของธุรกิจที่เราลงทุนก่อน จึงคาดการณ์ราคาหุ้นหรือผลตอบแทนอื่นใดที่ควรจะเป็นนั่นเอง
ดังนั้นในทางกลับกัน สิ่งที่เราเรียกว่า "การเก็งกำไรอย่างแท้จริง" คือการกระทำใดๆ ที่ไม่อยู่บนพื้นฐานของตัวธุรกิจมารองรับในเวลาอันสมควร เช่น
- การซื้อขายระยะสั้น ในระดับวัน สัปดาห์ หรือแม้แต่ 1 เดือน โดยไม่ว่าจะเป็นหุ้นอะไร ระดับไหน blue chip หรือ bull shit ก็ถือเป็นการเก็งกำไรทั้งสิ้น เพราะในระยะเวลาขนาดนั้นบริษัทไม่สามารถเปลี่ยนพื้นฐานหรือความสามารถในการทำกำไรได้ (ยกเว้นแต่ว่า ผู้ลงทุนได้ทราบล่วงหน้ามาก่อนแล้วว่ามีการกระทำบางอย่างของบริษัทที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น และถึงเวลาที่จะซื้อหุ้นพอดีโดยคาดการณ์ได้แล้วว่าผลของการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเป็นที่รับรู้ในกรอบเวลาอันสั้นนั้น)
- การซื้อขายในระยะใดก็ตามที่ไม่ได้ศึกษาถึงธุรกิจก่อน ว่าทำอะไร กำไรเท่าไร การเติบโตเป็นอย่างไร และ/หรือ
- การซือขายหุ้นตามแห่ ตามข่าวลือ หุ้นผีบอก หุ้นหมอดูบอก โดยไม่ดูพื้นฐาน
ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเรียกว่าเป็นการ "เก็งกำไรอย่างแท้จริง" ทั้งสิ้น
ดังนั้นเมื่อเรารู้ว่ากำลังเก็งกำไรอยู่ เราก็ต้องทำตัวแบบนักเก็งกำไรที่ดี คือรู้จักการขายทำกำไร รู้จักการขายเพื่อตัดขาดทุนด้วยนั่นเอง ถ้าเราเก็งกำไรอยู่ เราจะถือหุ้นแบบเป็นนักลงทุนอย่างที่ได้คำนวณล่วงหน้า คาดการณ์ล่วงหน้าไว้แล้วนั้นไม่ได้นะครับ ไม่อย่างนั้นคงพาเสียหายได้ง่ายๆ เลยทีเดียว