วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สถานการณ์ที่ได้เปรียบ


จริงๆ แล้วผมมีเรื่องที่เขียนไว้แบ่งปันเล่าให้พวกเรานักลงทุนได้ฟังกันอีกหลายเรื่อง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับตลาดหลักทรัพย์ของเราในช่วงเวลานี้ทำให้ผมต้องเล่าเรื่องนี้ให้ฟังก่อน เผื่อจะสามารถช่วยในการวางแผนได้อย่างถูกต้องสำหรับนักลงทุนที่ติดตามอ่านบล็อกเป็นเพื่อนกัน เนื่องจากในช่วงหลายวันที่ผ่านมาเพื่อนๆ นักลงทุนที่คุ้นเคยอยู่ในตลาดหลักทรัพย์อาจจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าดัชนีของตลาดนั้นค่อยๆ ปรับตัวลดลงอย่างช้าๆ อาจจะมีบางวันที่ดัชนีปรับตัวสูงขึ้นบ้าง แต่แนวโน้มส่วนใหญ่แล้วน่าจะยังเป็นช่วงของการปรับตัวลงอยู่

อย่างไรก็ตามก็จะมีราคาหุ้นของบางบริษัทที่ปรับตัวลดลงมากไปกว่าดัชนีของตลาดหุ้นกลุ่มนี้ถือว่าเป็นกลุ่มที่อ่อนไหวต่อดัชนีมาก และการที่ราคาของมันปรับตัวลดลงมากกว่าการปรับตัวลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์นั้นย่อมแสดงให้เห็นถึงความอ่อนไหวของราคาของมัน ถ้าเรามองดูพื้นฐานแล้วหุ้นของบริษัทเหล่านั้นน่าจะเป็นหุ้นของบริษัทที่ไม่แข็งแกร่งมากนักคือมีอนาคตที่ไม่แน่นอน ไม่สดใส หรือทั้งสองอย่างก็ได้ และถ้าจะว่ากันโดยพื้นฐานแล้วหุ้นของบริษัทที่มีราคาลดลงมากๆ ในสภาวะเช่นนี้มักจะเป็นหุ้นที่ราคาของมันเกินพื้นฐานความเป็นจริงไปมาก นั่นคือไม่เหลือส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยต่อไปอีกแล้ว ซึ่งจริงๆแล้วชาวนักลงทุนแบบเน้นมูลค่าของหุ้น (VI - value investor) ก็คงไม่ได้เดือดร้อนกับหุ้นกลุ่มนี้มากนักเนื่องจากว่าคงไม่สนใจที่จะเข้าไปซื้อในราคาที่แพงตั้งแต่แรก

ลองหันกลับมาดูหุ้นของบริษัทที่มีพื้นฐานดีกันบ้าง เราจะเห็นได้ว่าราคาของหุ้นกลุ่มนี้อาจจะลดลงบ้างแต่ก็ไม่มากนัก และในจำนวนนี้เองก็มีหุ้นของหลายบริษัทที่ยังมีราคาไม่ถึงพื้นฐานของมันปนอยู่ด้วย นั่นหมายความว่าเมื่อราคาของมันลดต่ำลงไปทำให้ราคาห่างจากพื้นฐานมากขึ้นไปอีก หรือแปลได้ว่ามีส่วนเพื่อเพื่อความปลอดภัยมากขึ้นนั่นเอง สภาวะการอย่างนี้นี่เองที่เป็นสภาพที่ทำให้นักลงทุนแนวเน้นมูลค่ามีโอกาสมากขึ้นในการลงทุนในช่วงเวลาของการปรับตัวลงของหุ้นทั้งตลาดแบบนี้สิ่งที่นักลงทุนที่เน้นการลงทุนแบบปลอดภัยควรทำก็เช่น

(1) มองหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่าพื้นฐานของมันมากๆ ถ้าให้ดีแล้วควรมีพื้นฐานดีพอที่จะมีการจ่ายปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ (ถ้าสูงกว่า 5-6% ได้ด้วยยิ่งสวย) และไม่ขึ้นกับสภาพเศราฐกิจมากนัก ซึ่งเรียกว่าหุ้นแบบ defensive นั่นเอง

(2) โดยเฉพาะหุ้นที่ปรับตัวลงมาพร้อมตลาด แต่ยังคงแข็งแกร่งกว่าตลาด นั่นย่อมแสดงให้เห็นความแข็งแรงของพื้นฐานของมันที่อย่างน้อยตลาดก็เห็น (แต่ก็ปรับตัวลงไปตามตลาดอย่างนั้นๆ เอง เข้าทำนองที่ว่า "น้ำลดเรือย่อมต่ำลง" - ขอบคุณที่ลงมาให้ซื้อ)

(3) ทดลองใช้ความชำนาญในการคาดคะเนวงรอบของการตกต่ำลงของหุ้นในรอบนี้ซึ่งจะเห็นว่าจริงๆ แล้วในปัจจุบันน่าจะเป็นผลจากการเมืองเป็นหลัก ทำให้การค้า การส่งออก การลงทุน หยุดชะงักอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยส่วนตัวผมคิดว่าเป็นช่วงเวลาประมาณ 6-8 เดือน (เน้นนะครับ ว่าเป็นการคาดการณ์โดยส่วนตัว อาจจะผิดจากนี้มากหรือน้อยก็ได้)

(4) วางแผนการลงทุน คือแผนการซื้อหุ้น สำหรับผู้ที่ไม่มีหุ้นในมือ หรือมีหุ้นในมือแต่ต้นทุนต่ำมาก (และได้ปันผลเข้ามามาก) สภาพแบบนี้ถือว่าได้เปรียบ และสภาพการณ์ทำให้นึกถึงการลงทุนแบบ Dollar Cost Average ขึ้นมาทันที โดยอาจจะวางแผนซื้อหุ้นที่สนใจเป็นช่วงๆ โดยยิ่งหุ้นมีราคาลดลงก็สามารถซื้อได้มากขึ้น โดยกะให้กรอบของการซื้ออยู่ในช่วงของ 6-8 เดือน แต่..

(5) สิ่งสำคัญที่สุดก็คือครั้งแรกที่จะเข้าไปซื้อหุ้นนั้นคือเมื่อใด โดยส่วนตัวแล้วผมคงแนะนำว่าปล่อยให้ราคาหุ้นนั้นตกลงไปก่อนจนถึงเวลาที่ราคาของมันไม่ลงไปอีกแล้ว (เช่นอยู่คงที่ได้สัก 1 สัปดาห์) หรือราคาเริ่มเพิ่มสูงขึ้นนิดหน่อย ก็เป็นจังหวะที่ดีที่เข้าไปซื้อครั้งแรก และค่อยทยอยสะสมไปเรื่อยตามวิธีการในข้อ (4) ที่ผ่านมา และเพราะว่าหุ้นของบริษัทเหล่านั้นจ่ายปันผล ถ้าเราซื้อได้ในราคาที่ต่ำเท่าไร อัตราปันผลย่อมสูงขึ้นเท่านั้น

โดยทั่วไปแล้วการทำเช่นนี้จะทำให้นักลงทุนมีหุ้นที่ดี มีการจ่ายปันผลสูง มีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยสูง และมีต้นทุนในมือต่ำกว่านักลงทุนอีกหลายๆ คน เมื่อเวลาผ่านไปและสิ่งต่างๆ เริ่มเข้าที่เข้าทาง ราคาของหุ้นพื่นฐานดีเหล่านี้ก็จะเพิ่มเติบโตขึ้นไปได้ด้วยตัวของมันเอง และยิ่งบริษัทมีการเติบโตด้วยแล้ว ผลตอบแทนที่ดีก็คงอยู่ในมือของนักลงทุนที่ทำถูกวิธีอย่างสบายๆ เพียงแต่รอเวลาสักหน่อยเท่านั้นเอง เวลาจึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งของนักลงทุนเสมอครับ