วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

น้ำมันลง ใครได้ ใครเสีย?!?


จะพูดไป อาจจะต้องขอบคุณบรรดาผู้ที่ทำให้น้ำมันมีราคาสูงมากเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าระดับราตาน้ำมันขนาดนั้นได้กระตุ้นให้ภาคธุรกิจในโลกนี้ (รวมถึงรัฐบาลของประเทศที่มองเห็นอนาคต) ได้ปรับตัวรวมทั้งดำเนินการหลายประการเพื่อหาแหล่งพลังงานที่มีราคาต่ำกว่า โครงการหลายโครงการที่เดิมทีดูเหมือนจะไม่คุ้มค่าหากน้ำมันมีระดับราคา 50-60 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล ก็เริ่มเป็นไปได้ และคุ้มค่าต่อการลงทุนเมื่อราคาน้ำมันดิบพุ่งไปถึง 100 เหรียญสหรัฐต่อบาเรลและสูงกว่านั้นขึ้นไปอีก  โครงการต่างๆ (ทั้ง active คือที่ผลิตพลังงานทดแทนออกมา และ passive คือการสร้างสิ่งต่างๆ เพื่อให้ระบบใช้พลังงานต่ำลง) ที่เคยถูกมองว่าไม่คุ้มที่จะทำ หรือมีระยะเวลาคุ้มทุนที่นานมาก อาจจะกลายเหลือระยะเวลาคุ้มทุนสั้นลง (เช่น 3-4 ปี) ณ วันนี้ เราอาจจะมีโครงการเหล่านี้ที่ "คุ้มทุนไปแล้ว" เหลืออยู่มากมายก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อมันเริ่มแล้วก็หยุดไม่ได้แล้วล่ะ! จึงเป็นที่น่าจับตามองว่าในระยะเวลาต่อจากนี้เมื่อเศรษฐกิจโลกขยับตัวดีขึ้น หรือการเติบโตของประเทศอื่นเช่น อินเดีย หรือการกลับมาเติบโตได้ดีของสหรัฐอเมริกาและจีนจะทำให้ความต้องการน้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้นสักเท่าใด จะแปรผันไปตามกันจริงหรือไม่ เพราะหากไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว แสดงว่า "น้ำมันเป็นแหล่งพลังงานที่มีศัตรูถาวร" เสียแล้วล่ะ

แต่นั่นอาจจะเป็นเรื่องไกลตัวไปสักหน่อย ในระบบเล็กลงมาเช่นในระบบที่เล็กลงสักนิด ที่เกี่ยวกับการลงทุนของเราสักหน่อย มาดูกันคร่าวๆ ดีกว่าเมื่อราคาน้ำมันลดลงขนาดนี้ จะเกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มธุรกิจที่มีทั้งได้และเสียผลประโยชน์เป็นใครบ้าง

  • กลุ่มที่เสียประโยชน์ น่าจะเป็น:
- ผู้ผลิตน้ำมันดิบ คือพวกที่ขุดมาขาย
- ผู้ผลิตพลังงานเทียบเคียง (เช่น ถ่านหิน, แก๊ส)
- คนมีสต้อกราคาสูง หรือผู้ที่ประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันไว้ในราคาสูง
- ผู้ค้าน้ำมันทั่วไป อาจจะโดนการต่อรองจากลูกค้าของตัวเองเพื่อให้ได้ราคาต่ำลงมาก และอาจจะต้องเสียมาร์จินไปในบางธุรกิจ
- ผู้ผลิต/บริการ พลังงานทดแทน (น้ำมันปาล์ม, ไบโอดีเซล/แก้ส, ไฟฟ้าทางเลือก - โครงการใหม่ๆ อาจจะโดนชะลอลง, ถ่านหิน)
- ผู้ผลิต ขายสินค้าที่เกี่ยวกับพลังงานทดแทน เช่น ระบบแก๊สรถยนต์ พวกนี้ปกติแล้วก็หวั่นไหว (sensitive) ต่อราคาน้ำมันมากอยู่แล้ว
- ธุรกิจทั้งหลายที่ลงทุนในการช่วยลดโลกร้อน อย่างน้อยแรงจูงใจในการที่จะช่วยกันประหยัดพลังงานด้วยการลงทุนเพื่อลดการสูญเสียต่างๆ ย่อมลดลงเป็นธรรมดา (แต่โดยส่วนตัวก็ยังอยากให้ผู้คนช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปล่อยพลังงานความร้อนต่างๆ อยู่เหมือนเดิมนะครับ)
 
  • กลุ่มที่ได้ประโยชน์ น่าจะเป็น:
- ผู้ค้าน้ำมันที่รักษามาร์จินได้ เพราะเมื่อปริมาณการขายน่าจะเพิ่มขึ้น ย่อมมีกำไรเพิ่มขึ้น
- ผู้ก่อสร้างโครงการต่างๆ ที่ความเป็นไปได้สูงขึ้น/ดีขึ้นมื่อราคาพลังงานลดลง
- ผู้ที่มีค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ตามปกติเป็นค่าพลังงานน้ำมัน (ส่วนไฟฟ้านั้นไม่แน่ใจ เพราะอาจจะทำเนียนไม่ลดราคาก็ได้ หรือลดน้อยมากก็ได้)
- ธุรกิจท่องเที่ยว จากน้ำมันลิตรละ 45-48 บาทแต่กลายเป็น 24-25 บาท ทำให้การเดินทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระยะใกล้ เช่น ช้อปปิ้งใกล้บ้าน หรือการเดินทางไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดใช้ต้นทุนต่ำลง ทำให้ผู้คนท่องเที่ยวมากขึ้น เม็ดเงินที่หายไปก็ไม่ไปไหนไกล เพียงแทนที่จะเปลี่ยนเป็นน้ำมัน ก็กลายเป็นการจับจ่ายในรูปแบบอื่น เช่น ที่พัก อาหาร การบันเทิง เป็นต้น
 
ดังนั้น เราก็คงต้องตัดสินใจต่อไปว่าราคาน้ำมันที่ลดลงระดับนี้จะกระทบกับธุรกิจของเราอย่างไรบ้าง ระยะสั้นหรือยาว แล้วเราจะจัดการกับธุรกิจและการลงทุนต่อไปอย่างไรครับ