หลังจากปี 2558 ผ่านไปแบบทุลักทุเลพอสมควร เพราะมีหลายสิ่งอย่างกดดันทำให้สภาพของตลาดหลักทรัพย์ดูไม่สดใสเท่าไร เกือบทั้งปีที่ราคาหุ้นใหญ่เช่น PTT ลดต่ำลงจาก 300 กว่าบาทเหลือเพียง 214 บาทในวันสุดท้ายของปี ราคาหุ้น SCC จากประมาณ 550 บาทเมื่อปลายไตรมาสแรกลดเหลือเพียง 400 บาทต้นๆ ในปลายปี ในขณะที่หุ้นธนาคารขนาดใหญ่เองก็ไม่น้อยหน้า พากันลดราคาลงมากับเขาด้วย เช่น หุ้นธนาคารกรุงเทพ BBL ลดราคาจากประมาณ 195 บาทเหลือเพียง 140 บาท และหุ้นธนาคารกสิกรไทย KBANK ลดราคาจากประมาณ 250 บาทเหลือเพียง 150 บาท นอกจากนั้นแล้วหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ก็พากันลดราคาลงมาแทบตลอดทั้งปี พ.ศ. 2558 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมสื่อสารที่ได้รับแรงกดดันจากการประมูลคลื่นที่ทำให่หลายคนพากันกังวลว่ารายจ่ายที่เกิดขึ้นจะทำให้บริษัทเหล่านี้ไม่สามารถทำกำไรได้เหมือนเดิม และ/หรือไม่สามารถเติบโตต่อไปได้ (ประมาณว่าพื้นฐานเปลี่ยนไป) ก็เหมือนกับเป็นการซ้ำเติมดัชนีให้ร่วงลงมาแบบไร้ความสดใสเลยทีเดียว
ก่อนที่เราจะตัดสินใจวางแผนการลงทุนในปี พ.ศ. 2559 นี้ เราคงต้องมาดูสภาพแวดล้อมโดยทั่วไปกันเสียก่อน โดยมองย้อนไปในปีที่ผ่านมาซึ่งจะเห็นว่ามีแนวโน้ม คือ
- การนำเข้าติดลบ (ส่วนมากเป็นสินค้าทุน)
- การส่งออกติดลบ (ผลจากการนำเข้าที่ต่ำลง)
- อัตราเงินเฟ้อติดลบ (เป็นตัวบอกสภาพเศรษฐกิจโดยทั่วไปว่าไม่ดีนัก)
- เงินบาทอ่อนค่าลง
- นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น (การที่เงินอ่อนค่า มีส่วนช่วยบ้าง แต่การนำเข้าสินค้าจะมีต้นทุนสูงขึ้น)
- รายได้ของเกษตรกรลดต่ำลง (ถ้ารากไม่แข็งแรง ลำต้นย่อมอ่อนแอไปด้วย)
- ปริมาณน้ำมีแนวโน้มที่จะเกิดความแห้งแล้งได้ (เป็นธรรมชาติ แต่มีผลตามมาที่เลี่ยงได้ยาก)
- การเมืองดูสงบ แต่ไม่กระตุ้นการเติบโตและการลงทุน นอกจากโครงการใหญ่ๆ
ธุรกิจที่อาจจะได้รับผลดีในปี 2559
1) หุ้นของธุรกิจที่มีความสามารถไปเติบโตในต่างประเทศที่มีสภาพเศรษฐศาสตร์ดีกว่าประเทศไทยในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการค้าปลีก วัสดุก่อสร้าง ธุรกิจการผลิตและส่งออกสินค้าพื้นฐานต่างๆ หุ้นบริการทางการเงินที่เติบโตต่างประเทศได้ อาจจะเป็นที่น่าสนใจหากราคาของมันยังไม่เกินพื้นฐานไป โดยมีข้อควรระวังว่าควรเป็นธุรกิจที่มีความแน่นอนในการควบคุมรายรับ/จ่าย และสามารถคาดการณ์ผลกำไรได้ค่อนข้างแน่นอน (ให้ระวังหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ได้งานในต่างประเทศ ว่าจะต้องคาดการณ์ผลกำไรได้ มีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดหวังต่ำ โดยนักลงทุนต้องรวมความไม่คาดหวังเหล่านี้ไว้ในการคำนวณราคาเหมาะสมด้วย จีงปลอดภัยพอในการลงทุน)
2) หุ้นของธุรกิจที่ยังมีพื้นฐานที่ดีแต่ถูกผู้คนเข้าใจผิด จนทำให้มีราคาลดต่ำลงมากเกินไป และทำให้มีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยกว้างมากพอ (ยิ่งมีราคาถูกด้วยการคำนวณปันผลตอบแทน และรายได้ กำไร ปันผล ยังมีการเติบโตอยู่ ยิ่งน่าสนใจ) หนึ่งในนั้นคือธุรกิจสื่อสารบางบริษัทที่ดูจะมีพื้นฐานทางการเงิน การตลาด และเทคโนโลยีรวมถึงสภาพแวดล้อมที่ดี (คลื่นที่มีในมือ อายุของคลื่น ความสามารถของทีมงาน มีปันผลตอบแทนที่ดี) หากนักลงทุนเห็นราคาลงมามากเกินสมควรและมีความเสี่ยงต่ำก็น่าจะลองพิจารณาลงทุนได้
3) ธุรกิจท่องเที่ยวที่เคยซบเซาเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่สงบในประเทศที่ผ่านมา เวลานี้ก็มีจำนวนนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาเพิ่มขึ้น ธุรกิจบริการด้านนี้น่าจะได้ผลดีไปด้วยไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร โรงแรม การบิน (ต้องเลือกบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรที่เหมาะสมกับการใช้จ่ายของบรรดานักท่องเที่ยวเหล่านี้)
4) ธุรกิจก่อสร้างที่ได้รับผลพวงจากงานใหญ่ของภาครัฐ เช่น ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง โดยต้องคัดเลือกบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง สามารถควบคุมต้นทุนได้ดี (โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้งานเป็นจำนวนเงินมาก แต่หากมีการควบคุมดูแลไม่ดี มีการรั่วไหลสูง หรือมีอุปสรรคในการทำงานมาก ผลสุดท้ายอาจจะไม่ได้กำไรอย่างที่หวังไว้ได้)
ธุรกิจที่ควรระวังในการลงทุนในปี 2559
ถามว่า หุ้นที่ควรระวังนั้นหมายถึงให้หลีกเลี่ยงการลงทุนไปเลยใช่ไหม คำตอบคือไม่ใช่ เพราะธุรกิจที่อาจจะได้รับผลกระทบก็ยังแบ่งออกเป็นในระยะสั้นหรือยาวได้อีก ถ้าบริษัทมีพื้นฐานที่ดี แต่อาจจะได้ผลกระทบเพียงระยะสั้น โดยทำให้ราคาหุ้นตกต่ำลงมามากเกินไป เราก็อาจจะเข้าไปลงทุนได้โดยวางแผนการลงทุน (การซื้อ ขาย) ให้ดี อย่างไรก็ตามหากการคาดการณ์ของเราผิด อาจจะจำเป็นต้องขายตัดขาดทุนออกไปก่อนเท่านั้นเอง หุ้นของธุรกิจที่ต้องระวังก็เช่น
1) จากราคาน้ำมันที่ต่ำลง จากแนวโน้มและสภาพแวดล้อมที่ผ่านมา ดูเหมือนราคาน้ำมันจะถูกกดดันด้วยสภาพของ อุปสงค์-อุปทานอย่างแท้จริง จะสังเกตได้ว่า เมื่อก่อนนี้หากมีข่าวความเป็นไปได้ของสงคราม (ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ จริงหรือเท็จอย่างไร) ราคาน้ำมันจะดีดตัวขึ้นไปก่อนเลย แต่ปัจจุบันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น อีกส่วนหนึ่งอาจจะเป็นการแตกคอของเหล่าประเทศผู้ผลิตน้ำมันที่ระดมกำลังกันผลิตน้ำมันออกมาโดยไม่สนใจว่าราคาจะตกต่ำลงไปแค่ไหน และที่ขาดจะไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือปกติแล้วที่สหรัฐอเมริกามีกฏหมายว่าจะไม่ส่งออกน้ำมันมากว่า 40 ปี แต่กลับแก้กฏหมายนี้ให้สามารถส่งออกน้ำมันได้ เรื่องนี้มองได้หลายแง่มุมของความเป็นไปได้ว่า สหรัฐอเมริกาอาจจะคิดว่าตัวเองมีปริมาณน้ำมันสำรองมากพอ หรือมีแหล่งพลังงานอื่นที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเพียงน้ำมันดิบอีกต่อไป หรือแม้กระทั่งเป็นการกดดันราคาน้ำมันดิบที่เป็นแหล่งรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับประเทศกลุ่มอาหรับและโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรัสเซียที่ถึงอย่างไรก็ดูไม่ค่อยสนิทใจเท่าไร ทำให้ประเทศเหล่านี้มีรายได้ต่ำลงและมีความสามารถในการซื้อ (และแน่นอนว่า ในทางการทหาร) ต่ำลงด้วย ด้วยเหตุผลต่างๆ เหล่านี้จึงยังไม่มีเหตุผลหรือสถานการณ์อันที่ทำให้พอจะมองได้ว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเหมือนเช่นในอดีตที่ผ่านมา ดังนั้นธุรกิจที่น่าสนใจก็คือธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ต่ำลง (ต้นทุนต่ำลง หรือยอดขายเป็นปริมาณสูงขึ้น) โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องไม่มีคู่แข่งกันเองรับประโยชน์จากราคาน้ำมันด้วยซึ่งสุดท้ายก็จะราคาขายลงมาและทำให้ความสามารถในการทำกำไรไม่ได้ดีขึ้นแต่อย่างใด
2) หุ้นการเกษตรที่อาจจะได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำฝนที่น้อยลง ทำให้ผลผลิตต่ำลง ราคาผลผลิตมักเพิ่มสูงขึ้นทำให้ต้นทุนในการผลิตสูงขึ้น ถ้าธุรกิจไม่สามารถขึ้นราคาสินค้าได้ไม่ว่าจะเพราะเป็นสินค้าควบคุมราคาขายหรือเพราะคู่แข่งล้วนไม่ยอมปรับราคา ก็ย่อมทำให้ความสามารถในการทำกำไรต่ำลง ธุรกิจอีกอย่างหนึ่งที่อาจจะได้รับผลกระทบจากความแล้งก็คือธุรกิจผลิตและจำหน่ายวัตถุดิบในการผลิตสินค้าเกษตร เมื่อเกิดการแห้งแล้ง การเพาะปลูกลดน้อยลง (เช่น ทำนาน้อยลง ก็ย่อมซื้อปุ๋ยน้อยลง เป็นต้น) เหล่านี้จึงต้องระวังในการลงทุน
3) หุ้นพลังงานทดแทน เป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่เราควรให้ความระมัดระวังในการลงทุนในปีนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจที่ขายสินค้าทดแทนน้ำมันย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย อย่างน้อยก็ต้องลดราคาลงมาเพื่อให้เทียบเคียงกับค่าใช้จ่ายกับพลังงานหลัก นอกจากนั้นเราต้องไม่ลืมความจริงที่ว่าธุรกิจผลิตพลังงานทดแทนเช่นไฟฟ้าได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไม่มากก็น้อย ส่วนหนึ่งที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะราคาของพลังงานหลักที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา แต่เมื่อแนวโน้มได้เปลี่ยนไป การช่วยเหลือสนับสนุนจากภาครัฐในการลงทุน ก็อาจจะเปลี่ยนไปด้วย ดังนั้นนักลงทุนควรจะให้ความระมัดระวังในการลงทุนกับธุรกิจเหล่านี้เช่นกัน
4) การเงินการธนาคารที่เป็นธุรกิจในประเทศ โดยปกติแล้วราคาหุ้นของกลุ่มธนาคารจะสะท้อนสภาพเศรษฐกิจล่วงหน้าอยู่หลายเดือน (5-6 เดือน) สิ่งที่เป็นกังวลที่สุดของธุรกิจการเงินการธนาคารก็คือปริมาณของหนี้เสียและนโยบายการเงินของรัฐบาล เมื่อหนี้เสียพุ่งสูงขึ้นจะทำให้ธนาคารเหล่านี้ต้องกันเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น แม้เพียงสัดส่วนน้อยนิดก็มักกระทบกับกำไรของธนาคารต่างๆ เป็นจำนวนมาก นักลงทุนจึงต้องติดตามการดำเนินงานและสภาพเศรษฐศาสตร์ของลูกค้าของเหล่าสถาบันการเงินเหล่านี้ให้ดี
สำหรับนักลงทุนแนวเน้นมูลค่าของกิจการแล้ว สิ่งที่เป็นแก่นของการลงทุนคือความสามารถในการคาดเดาผลการดำเนินงานของธุรกิจต่างๆ ได้ และเราย่อมสามารถใช้ความสามารถในการคาดเดาผลการดำเนินงานเหล่านั้นในระยะ สั้น กลาง และยาว มาตัดสินใจลงทุนในระยะต่างๆ ได้ ก็ขอให้เพื่อนๆ ประสบความสำเร็จในการลงทุนในปีนี้นะครับ
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ขอให้เพื่อนนักลงทุนพิจารณาด้วยตัวเอง และดัดแปลงให้เข้ากับสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปก่อนการนำไปใช้งานครับ