ขึ้นหัวข้อแบบนี้เพื่อนๆ หลายคนอาจจะงงว่าเว็บบล็อกนี้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นแล้วอยู่ดีๆ จะมาบอกว่าอย่าเล่นหุ้นได้อย่างไร ก็ตัวคนเขียนเองก็เล่นหุ้นอยู่ไม่ใช่หรือ?ถ้าจะว่าไปแล้วคำว่าเล่นหุ้นดูเหมือนจะเป็นคำที่ถูกใช้เหมารวมกับทุกๆคนที่ยุ่งเกี่ยวกับการซื้อและขายหุ้น เรียกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการซื้อและขายคนคนนั้นก็จะถูกเรียกว่าเป็นนักเล่นหุ้นไปด้วยเสมอ กับตัวผมเองก็ไม่เป็นด้วยเช่นกัน เพื่อนที่รู้จักกันมานานแต่อาจจะไม่เคยเจอกันหรือไม่ได้พูดคุยกันบ่อยเป็นเวลานาน เมื่อกลับมาเจออีกครั้งก็มักจะคิดว่านอกจากทำธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ แล้วผมก็ยังเล่นหุ้นด้วย จนผมต้องคอยบอกอยู่เสมอว่าผมไม่ได้เล่นหุ้นนะ แต่ผมเอาจริงตลอดโดยเป็นนักลงทุนอาชีพต่างหาก
ถ้าถามว่าคำสองคำ คือการเล่นหุ้นและการลงทุน นี้ต่างกันอย่างไร โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันต่างกันมากเลย ถ้าเราคิดว่าเราเล่นอะไรซักอย่างเราก็อาจจะหวังหรือไม่หวังผลตอบแทนมากมายนัก บางคนตั้งใจเล่นหุ้นอยากได้ตอบแทนทุกวัน วันละ 1000 บาท สมองก็จะเริ่มคิดแล้วว่าในทุกๆ วันที่ตลาดปิดนั้นวันรุ่งขึ้นจะซื้อขายหุ้นอะไรดี มีหุ้นตัวไหนที่มีข่าวดีกำลังจะวิ่ง ราคากำลังจะขึ้น เราก็จะคิดและทำอย่างนี้อยู่ทุกๆวัน และถ้าไม่ได้หรือขาดทุนก็ไม่เป็นไร เพราะถือว่าเป็นของที่เราทำเล่นๆ ถ้าเกิดขาดทุน หรือไม่ได้เงิน (แต่ว่าเสียเวลา) ก็ยังมีรายได้จากที่อื่นมาจ่ายค่าขาดทุนนั้น วนไปวนมาอยู่แบบนี้จนกระทั่งพลาดครั้งใหญ่ 2-3 ครั้งติดกันสุดท้ายก็ออกจากตลาดหลักทรัพย์ไป
ในทางตรงกันข้ามถ้าเราคิดว่าเราต้องการเป็นนักลงทุนจริงๆโดยสุดท้ายแล้วมีผลตอบแทนที่เป็นอิสระทางการเงินได้ เราก็จะเริ่มคิดในทางที่แตกต่างไป เช่นปัจจุบันมีเงินอยู่ 2 ล้านบาทจะทำอย่างไรให้เป็น 10 ล้านบาทให้ได้ภายในเวลา 10 ปี ความคิดตรงนี้จะเป็นโจทย์ที่แตกต่างอย่างมากกับการมีเงิน 2 ล้านบาทเท่ากันและซื้อมาขายไปให้ได้กำไรวันละ 1,000 บาท เช่นเราจะคิดว่าเราจะต้องลงทุนทบต้นให้สำเร็จกี่รอบ อย่างเช่นในกรณีนี้ก็ประมาณไม่ถึง 3 รอบเท่านั้นเราก็จะเริ่มคิดว่าในเวลา 3 ปีจะมีหุ้น ของบริษัทใดที่เติบโตได้เกิน 1 เท่าตัวบ้างและลงทุนไป ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ 2-3 ครั้งก็จะไปถึงเป้าหมายที่ต้องการได้
สรุปสั้นๆ ได้ว่า
- ความคิดที่แตกต่างกันนำมาซึ่งคำตอบที่แตกต่างกัน
- คำตอบที่ต่างกันนำมาซึ่งโจทย์ที่ต่างกัน
- โจทย์ที่ต่างกันนำมาซึ่งวิธีการที่แตกต่างกัน
- วิธีการที่แตกต่างกันนำมาซึ่ง โอกาสของความสำเร็จอย่างยั่งยืนที่ต่างกัน
ทุกอย่างจึงอยู่ที่ความคิดเบื้องต้นที่เป็นที่มาของทุกอย่างนั่นเอง และในความเห็นและประสบการณ์เกือบ 20 ปีที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ผมบอกได้เลยว่าการลงทุนเพื่อให้ได้กำไรเป็น 2 เท่าตัวในเวลา 1-2 ปีนั้นง่ายกว่าการลงทุนเพื่อให้ได้กำไรวันละ 1% ทุกวันมากๆ เลยล่ะ เพราะในระยะสั้นเราไม่สามารถคาดการณ์ราคาหุ้นได้อย่างแม่นยำ (แปลง่ายๆ ว่าโอกาสถูกและผิดเท่ากัน) ในขณะที่ในระยะกลางและยาวแล้ว ความแม่นยำนี้มีมากกว่า 80% เลยทีเดียว
เพื่อนๆ ที่ต้องการประสบความสำเร็จในการลงทุนอย่างแท้จริงลองพิจารณาดูความแตกต่างของการเล่นและการทำอย่างจริงจังนะครับเมื่อเราตั้งใจทำอะไรอย่างจริงจังและต้องการความสำเร็จที่แน่นอน จิตใจและสมองของเราก็จะคิดในอีกรูปแบบหนึ่งเพื่อไปสู่ความสำเร็จนั้นให้จงได้ ไม่ว่าจะต้องล้มลุกคุกคลานอย่างไรเราก็จะหาวิธีแก้ไขไปตลอดทางที่เราล้มและลุกขึ้นนั้น โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็จะสูงขึ้น แม้ว่าผมจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องโชคเท่าไหร่นัก (ผมเชื่อในฝีมือที่เกิดจาก ความรู้ ความชำนาญและความพยายามแก้ไขสิ่งบกพร่องมากกว่า) แต่ก็ขอบอกว่า ขอให้โชคดีทุกๆ ท่านนะครับ