นักลงทุนจำนวนมากเมื่อเข้ามาในตลาดมักซื้อหุ้นของหลายบริษัทมาก ไม่ว่าจะเพราะเลือกไม่ถูกพอเห็นอะไรก็รู้สึกชอบไปหมด อาจจะเพราะแยกของไม่ดี หรือดี ออกจากดีมากไม่ได้ หรือเพราะซื้อตามเพื่อน (เขาซื้อเราซื้อด้วย) หรือซื้อตามที่นักวิเคราะห์บอกว่าดีก็ซื้อตามไป โดยคิดว่าการมีหุ้นหลายบริษัทมากย่อมเป็นการลดความเสี่ยง ซึ่งที่จริงก็เป็นการลดความเสี่ยงในแง่มุมว่าเราไม่เสียเงินทั้งหมดไปในปริมาณมากค่อนข้างแน่นอน แต่ก็จะลดความเป็นไปได้ที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีมากไปด้วยในตัว และในความเป็นจริงเราไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นมากมายหลายตัวขนาดนั้นด้วยหลายเหตุผล เช่น
- เมื่อเราเลือกแล้วว่าดี ความเสี่ยงย่อมต่ำลง ถ้าเราเลือกเฉพาะหุ้นดีๆ เข้าพอร์ตมา ความเสี่ยงรวมย่อมต่ำลงไปอีก
- ความเสี่ยงนั้นต่ำกว่าการทำธุรกิจส่วนตัวเสียอีก และสามารถเปลี่ยนใจเพื่อหยุดความเสียหายได้ตลอดเวลา (โดยการขายตัดขาดทุน)
- เรายอมรับการเสียหายได้เท่าไร สมมติว่า 20% เราก็ซื้อหุ้น 5 ตัวก็ได้ ซึ่งที่จริงก็ไม่ได้เสียหายขนาดนั้นเพราะเราสามารถขายตัดขาดทุนได้และถ้าเราเลือกหุ้นที่ดีเราก็จะไม่ขาดทุนอะไรขนาดนั้น)
- ยิ่งเราซื้อหุ้นน้อยตัวเท่าไร โอกาสจะได้ผลตอบแทนที่ดี (กว่าตลาดโดยรวมหรือดัชนีนั่นเอง) ย่อมสูงขึ้นไปด้วย ภายใต้สมมติฐานว่าเราคัดเลือกหุ้นที่ดี
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ถ้าเราสนใจแต่บริษัทขนาดใหญ่ๆ จะมีจำนวนบริษัทให้เลือกน้อยลงและบริษัทใหญ่ (แล้ว) เหล่านั้นมักเติบโตต่อไปได้ยาก (มักจะเป็นเพราะครอบครองสวนแบ่งการตลาดไว้จนอิ่มตัวแล้ว ยกเว้นแต่ว่าตลาดจะขยายต่อไปเรื่อยๆ) และราคาหุ้นมักไม่ถูก (ยกเว้นช่วงตลาดตกใจ) เนื่องจากมีผู้คนสนใจจำนวนมาก มีการวิเคราะห์กันอย่างกว้างขวาง แต่ถ้าเราเปิดโอกาสสนใจบริษัทขนาดเล็กๆ ด้วยก็จะมีให้เลือกอีกเยอะมาก ราคามักถูกกว่าที่ควรและมีโอกาสโตได้มากกว่าบริษัทขนาดใหญ่ที่โตแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นคือ เมื่อบริษัทยังมีขนาดเล็กหรือกลางอยู่ ปริมาณหุ้นไหลเวียนยังมีน้อย จะไม่ค่อยมีบริษัทนายหน้าที่ไหนสนใจหาข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ เพราะไม่มีประโยชน์ทางธุรกิจ (วิเคราะห์ไปก็ไม่ได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายนั่นเอง) ทำให้หลายครั้งราคาหุ้นผิดไปจากความเป็นจริง (เพราะไม่มีใครไปช่วยดู) และมักผิดไปในทางที่ถูกเกินไปเสียด้วย ทำให้เป็นโอกาสในการลงทุนของเราได้ ต่อเมื่อบริษัทเหล่านั้นเติบโต ยอดขายสูงขึ้น กำไรสะสมมากขึ้น มีการขยายกิจการ ออกหุ้นเพิ่มทุนต่างๆ ก็จะเป็นที่รู้จักในวงการลงทุน เจ้ามือที่แท้จริงก็คือผลประกอบการและการเติบโตก็จะมาช่วยทำราคาให้เอง
เพื่อนๆ ลองพิจารณาดูนะครับว่าที่ผมเล่ามาด้านบนเป็นแนวทางที่เหมาะกับตัวเองหรือไม่ หรือจะดัดแปลงให้เหมาะสมมากขึ้นเพื่อประโยชน์ของเพื่อนๆ เองก็จะน่ายินดีเป็นอย่างยิ่งครับ