ทั้งที่การซื้อหุ้นนั้นโดยหลักการแล้วคือการซื้อเพื่อเป็นเจ้าของกิจการ (ไม่ว่าจะส่วนน้อยหรือมากก็ถือว่าเป็นเจ้าของกิจการ ตามกฏหมายสากล) แต่ในหลายครั้งการซื้อขายหุ้นเพื่อทำกำไรได้กลบหลักการเดิมนี้ไปเสียไม่น้อย จนหลายคนคงเคยได้ยินคำพูดนี้แต่กลับนึกไม่ออกและมีการให้ความหมายแตกต่างกันไป บางคนตีความหมายว่าเราต้องถือหุ ้นนั้นไว้นานๆ บางคนตีความหมายว่าต้องเข้าใจว่ าบริษัททำอะไร บางคนก็บอกว่าต้องเป็นเงินเย็น ซึ่งก็มีทั้งถูกมาก ถูกน้อย ไปตามเรื่อง ถ้าจะว่าไปจริงๆ ก็คงตอบไม่ได้ถูกเต็มที่นักจนกระทั่งนักลงทุนนั้นได้เคยเป็นเจ้าของธุรกิจจริงๆ มาก่อน เพราะหากเราดำเนินธุรกิจจริงๆ ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ สิ่งที่เราคิดกับธุรกิจของเราก็น่าจะเป็นตามด้านล่างนี้
ความคิดของเจ้าของบริษัท
ในฐานะที่ผมเองทำมาหลายอาชีพ ทั้งวิศกร ลูกจ้าง ข้าราชการ เจ้าของธุริกจ และนักลงทุน เลยขอแบ่งปันความคิดในแง่มุมของการเป็นเจ้าของธุรกิจ/บริษัท ให้กับเพื่อนๆ นักลงทุนว่าที่จริงแล้วถ้าเราเป็นเจ้าของ มีพนักงานหลายชีวิต (และครอบครัว) ที่ช่วยทำงานและต้องดูแลกัน จะมีความคิดอย่างไรบ้าง
- เมื่อเราเป็นเจ้าของบริษัทเราจะสนใจกับการถือหุ้นในจำนวนมากขึ้นเผื่อมีสัดส่วนการเป็นเจ้าของที่มากขึ้นหากมีโอกาส
- เมื่อเราเป็นเจ้าของบริษัทเราจะสนใจกับการดำเนินงานของบริษัท สนใจเกี่ยวกับภาพลักษณ์การเจริญเติบโตของบริษัท ให้ลูกค้า คู่ค้า มีความสุขที่จะทำงานด้วย ให้คู่แข่งมีความปรารถนาดีต่อกัน
- เราจะสนใจในการมีพนักงานที่มีความสามารถมีคุณภาพสูงมาทำงานด้วย ให้พนักงานทุกคนมีสวัสดิการที่ดี มีความสุขในการทำงาน
- เมื่อเราถือหุ้นแบบเป็นเจ้าของบริษัทเราย่อมมีความภูมิใจที่จะบอกกับผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือญาติว่าเรามีอาชีพเป็นเจ้าของบริษัทโดยการใช้เงินของเราทำงานให้มากกว่าการที่จะ กระมิดกระเมี้ยนบอกว่าเป็นนักเล่นหุ้น
- สิ่งที่เราต้องการคือ การขยายตัวของลูกค้า ยอดขาย ขยายบริษัท มีบริษัทใหม่ ซื้อบริษัทใหม่ ขยายไปต่างประเทศ จ่ายปันผล และจ่ายปันผลมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
- นักลงทุนที่ถือหุ้นแบบเป็นเจ้าของบริษัทต้องการให้ธุรกิจนั้นอยู่ยงคงกระพัน สร้างผลตอบแทนในรูปของกระแสเงินสดตลอดเวลาและเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป (ชนะเงินเฟ้อ) ผลตอบแทนนั้นก็คือเงินปันผลที่มาจากกำไรของบริษัทนั่นเอง ดังนั้นเมื่อเราถือหุ้นไปและได้รับเงินปันผลไปเรื่อย เราก็จะมีความสุขกับการเป็นเจ้าของส่วนของบริษัทที่เป็นเหมือนกับเครื่องสร้างเงินให้เรา เมื่อถึงจุดหนึ่งเงินสดเหล่านี้ก็สามารถทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้โดยเป็นอิสระทางการเงินเลยทีเดียว
- เมื่อเป็นเจ้าของบริษัท เราจะคอยติตามการดำเนินกิจการของบริษัท จะรู้จักผู้บริหาร ร่วมเข้าประชุมผู้ถือหุ้น สอบถาม และที่สำคัญที่สุดคือให้ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของบริษัทด้วย
- เมื่อเราเป็นเจ้าของบริษั
ท เราจะไม่วอกแวกสนใจในราคาหุ้ นของบริษัทที่เราไม่ได้เป็นผู้ ถือหุ้นเท่าไรนัก เราจะไม่รู้สึกใส่ใจอิจฉาราคาหุ้ นของบริษัทอื่นที่วิ่งขึ้ นไปมาในขณะที่ราคาหุ้นของบริษั ทเรายังขยับตัวอย่างเชื่องช้ าไปเรื่อยๆ การสนใจราคาหุ้นของคนอื่นมากเกินไปนอกจากทำให้เกิดทุกข์ได้แล้วยังมักเกิดกรณี "ขายหมูไปซื้อสุนัข" ได้อีกด้วย
นักลงทุนแบบเป็นเจ้าของมักไม่ค่อยสนใจว่าราคาหุ้นจะขึ้นไปเร็วหรือไม่ (ขอให้กำไรของบริษัทมากขึ้น แต่ราคาหุ้นไม่ขึ้นไม่เป็นไร ยิ่งดีเสียอีกที่จะนำเงินมาลงทุนเพิ่มขึ้นได้) ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราไม่ได้ลงทุนแบบเป็นเจ้าของบริษัท เราคงต้องการเพียงส่วนต่างของราคาหุ้นจะอยากให้หุ้นขึ้นราคาไปเร็วๆ เพื่อที่จะขาย (ส่วนของบริษัท) ทำกำไรไป เห็นไหมครับว่ามิติการคิดนั้นผิดไปจากเดิมมาก มีสิ่งที่ต้องคำนึงมากจนลืมเรื่องราคาหุ้นไปเลย
คราวนี้สมมติว่าเราเป็นนักลงทุนคือเรามีเงินเหลือ เราอยากลงทุน บังเอิญมีเพื่อนที่เรารู้จั
เห็นภาพไหมครับ ว่า เรื่องเปลี่ยนไปมากมายเมื่อเที
อยากเป็นเจ้าของบริษัท ดูอะไรบ้าง
คราวนี้ เราต้องทำอย่างไรต่อถ้าสนใจร่
1) เพื่อนเราที่มาชวนนั้น เรารู้จักมาก่อนหรือเปล่า นิสัยใจคอเป็นอย่างไร มีความเก่งกาจเฉลียวฉลาดแค่ไหน เห็นชัดเจนไหมครับ ในกรณีแบบนี้เรามักดูที่ตัวเจ้
2) ธุรกิจนั้นทำอะไร เราชอบหรือไม่ เราเข้าใจมันหรือไม่ เข้าใจว่าผลิตหรือให้บริการใคร มีลูกค้ากี่คน ต้นทุนเท่าไรจ่ายให้ใครบ้าง มีข้อได้เปรียบคู่แข่งอย่างไร มีอัตรากำไรเท่าไร ยอดขายต่อไปขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง
3) ธุรกิจมีอะไรเป็นทรัพย์สินที่
3) ธุรกิจนั้นมีอะไรเป็นตัวถ่วง (ทรัพย์สินไม่ทำเงิน หนี้สิน) มีหนี้สินมากแค่ไหน มีดอกเบี้ยจ่ายมากแค่ไหน ธุรกิจจำเป็นต้องสร้างหนี้เพิ่
4) ธุรกิจนั้นมีกำไรอย่างไร อัตรากำไรขั้นต้นและสุทธิมากหรือน้อยแค่ไหน สินค้าพิเศษหรือเป็นโภคภัณฑ์ สามารถตั้งราคาตามต้องการได้หรื
5) ความคงเส้นคงวาของธุรกิจนั้นเป็นเช่นไร มีการเติบโตหรือไม่อย่างไร ส่วนแบ่งการตลาดเป็นอย่างไร (จะ)เป็นผู้นำตลาดได้หรือไม่ ยามดีจะดีแค่ไหนคือได้กำไรมากเพียงใดและเป็นเวลายาวนานอย่างไร ยามร้ายถึงกับขาดทุนไหมและจะต้องรอเท่าใดจึงฟื้นตัว เรียกว่าเข้าใจว่าธุรกิจนั้นเป็นวัฏจักรหรือไม่อย่างไร สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรารู้จังหวะการทำกำไรของบริษัท ทำให้เราไม่ตกใจและรู้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่บางครั้งการทำกำไรอาจจะไม่ต่อเนื่อง และต้อง "รอ" เวลาบ้าง
จะเห็นว่าทุกข้อที่กล่าวมา เราแทบจะต้องหาข้อมูลเองแทบทุ
สิ่งหนึ่งที่เราควรจะให้
คราวนี้เมื่อเรารู้สึกชินกับการต้องหาข้อมูล ต้องคัดเลือกว่าบริษัทไหนที่มีศักยภาพควรลงทุนด้วย เริ่มรู้สึกอยากอยู่ด้วย อยากดูแลบริษัท โดยลืมเรืองตัวเลขราคาหุ้นไปก่อน นั่นคือเราเดินเข้าใกล้สิ่งที่