วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

มือเก่าหัดขับพาเที่ยวเวียดนาม



หลายคนอาจจะมองว่าการท่องเที่ยวเป็นสิ่งไร้สาระ เป็นสิ่งเสียเวลา แต่สำหรับหลายคนอาจจะมองตรงกันข้ามคือถือว่าการท่องเที่ยวไม่ใช่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการบันเทิงเท่านั้น (จะว่าไป เหนื่อยนะครับ ถ้าอยากสบายนอนอยู่บ้านดีกว่าเป็นไหนๆ) แต่เป็นทั้งการเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น ซึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการทำธุรกิจ ลงทุนต่างๆ ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นเลยทีเดียวก็ว่าได้ หลายปีจากนี้โดยส่วนตัวแล้วตั้งใจจะเดินทางไปรอบๆ ประเทศไทยให้ครบ ก่อนที่จะไปไกลขึ้นในวันข้างหน้า และช่วงวันหยุดติดต่อกันหลายวันที่ผ่านมานี้ผมก็ถือโอกาสตั้งก๊วนชักชวนเพื่อนเดินทางไปยังประเทศเวียดนามที่อยู่ใกล้กับประเทศไทย มีเพียงประเทศลาวและกัมพูชาขวางกั้นเอาไว้เท่านั้นเอง (ใกล้เนอะ)

ออกเดินทาง


หลังจากแพ็คกระเป๋าเสร็จสรรพด้วยความรวดเร็วตามประสาผู้ชายแท้ (พอเดาออกนะครับ ขาดๆ เกินๆ ไปตามเรื่อง) เราก็ออกเดินทางด้วยสายการบิน ไทยแอร์เอเชีย จากท่าอากาศยานดอนเมือง ก่อนออกก็มีความตื่นเต้นเล็กน้อยเพราะขณะที่เครื่องกำลังหันหัวเข้าทางวิ่ง พนักงานต้อนรับก็ประกาศว่าเครื่องบินมีปัญหานิดหน่อยต้องใช้เวลาแก้ไขราว 10 นาที หลังจากนั้นก็มีช่างเครื่องวิ่งขึ้นลงในห้องนักบิน ก็พยายามไม่คิดจินตนาการอะไรมากไปกว่าว่าคงจะเป็นฟิวส์หรือหลอดไฟดวงไหนสักดวงหนึ่งขาดไปมากกว่า ซึ่งในที่สุดเราก็สามารถออกเดินทางได้ อากาศขณะเดินทางดีทีเดียว เรารับประทานอาหารที่เราสั่งจองกับสายการบินเอาไว้ รับประทานเสร็จก็เกือบถึงเวลาลดเพดานบินลงจอดที่สนามบินนอยไบ กรุงฮานอย ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือของเวียดนาม สนามบินนี้เป็นสนามบินใหม่ ทันสมัย ลักษณะทั่วไปคล้ายสนามบินเชียงใหม่แต่คึกคักน้อยกว่า ซึ่งคำว่า "ฮานอย" หมายถึงเมืองที่มีน้ำมาก น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ที่ดูแล้วก็น่าจะยังคงเป็นแบบนั้นอยู่ สรุปว่าการเดินทางกับไทยแอร์เอเชียราบรื่นเป็นปกติครบถ้วนเลยทีเดียว

ผู้นำทาง


การเดินทางครั้งนี้เราได้ผู้นำทางให้กับคณะของเราที่มีไม่กี่คน เรียกว่าเป็นกลุ่มวีไอพีเลยทีเดียว มีรถตู้ขนาด 16 ที่นั่งเป็นพาหนะตลอดการเดินทาง (ถ้าไม่นับรถไฟตู้นอน) โดยคณะเดินทางมีเพียง 4 คนเท่านั้น เรียกว่านอน เหยียดยาวในรถตู้ได้เลย ไกด์ชื่อ "ตู๋" และมีชื่อภาษาไทยว่า "เป็ด" สามารถพูดภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว (มาเรียนภาษาไทยที่ประเทศไทยอยู่นานก่อนจะเป็นผู้นำทางอาชีพ) ก็ได้ความรู้จากชาวเวียดนามจริงๆ และด้วยความที่คณะมีเพียง 4 คนทำให้การสอบถามเรื่องราวต่างๆ ทำได้ละเอียดมาก

พื้นที่และประชากร


เวียดนามพื้นที่ 331,221 ตร.กม. (ไทย 514,000) มีประชากร 90 ล้านคน พื้นที่ประมาณ 10,000 ตร.กม. ใช้ในการปลูกข้าว รัฐบาลมีนโยบายให้มีลูกไม่เกิน 2 คน ถ้าใครทำงานราชการแต่มีลูกเกิน 2 คนอาจจะถูกลงโทษ (เช่น เสียผลประโยชน์) บางประการได้ ชาวเวียดนามส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน

การปกครอง

ธงชาติเวียดนาม


ที่ดินส่วนมากเป็นของ รัฐบาลที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ เวียดนามมีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว มีการเลือกตั้ง แต่ฟังดูก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเลือกอะไรเพราะไม่สามารถมีพรรคการเมืองอื่นมาต่อสู้ได้ ประชาชนต้องเช่าที่ดินเพื่อทำกินจาก รบ. ได้เพียงคนละ 360 ตรม. (ไม่ใช่ตารางวา คือไม่ถึง 100 ตารางวาที่มี 400 ตรม.) ที่อยู่อาศัยซื้อได้ แต่ที่นาต้องเช่า ที่นาเขียวขจีที่เราเห็นเป็นผืนใหญ่เพราะเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ก็รวมกันเช่าเป็นผืนใหญ่ (คิดแง่มุมนี้แล้วชาวนาบ้านเราที่เป็นเจ้าของที่ดินเองรวยกว่ามากเลยจริงๆ นะ) ขณะที่มองดูท้องทุ่งนาก็มองเห็นสุสานกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป มีลักษณะเหมือนฮวงซุ้ย จากการสอบถามผู้นำทางก็ได้ทราบว่าชาวเวียดนามนิยมฝังศพไว้ในที่ดินของตัวเอง และเนื่องจากมีประเพณีที่ได้รับอิทธิพลมาจากจีน เราจึงมักเห็นฮวงซุ้ยอยู่กระจายทั่วไปในท้องนาต่างๆ นั่นเอง

เวียดนามแบ่งออกเป็นสามภาค เหนือ กลาง และภาคใต้
  • ภาคเหนือมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ (กรุงฮานอย ก็อยู่ชิดติดเหนือบนสุดของเวียดนาม) สามารถทำนาได้ปีละ 4 ครั้ง เพราะมีแม่น้ำแดงไหลผ่านลงมาจากประเทศจีน (เป็นเขตแดนกั้นสองประเทศออกจากกันด้วย) ข้าวที่ปลูกได้ในภาคเหนือใช้กินในประเทศ
  • ภาคกลางแห้งแล้งที่สุดทำนาได้ปีละเพียงหนึ่งครั้ง คนเวียดนามที่เป็นคนภาคกลางส่วนมากจะเดินทางไปทำงานต่างถิ่นหรือต่างประเทศเพราะไม่สามารถทำการเกษตรได้ผล พื้นที่ในภาคกลางของเวียดนามที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งก็ดูจะเป็นเมืองดานัง ที่เป็นเมืองท่าสำคัญของเวียดนามกลางตอนใต้ ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทะเลจีนใต้ โดยในช่วงของสงครามเวียดนาม อเมริกาได้ใช้เมืองดานังเป็นฐานทัพอากาศในการโจมตีเวียดนามเหนือด้วย
  • ภาคใต้อุดมสมบูรณ์ที่สุดเพราะมีแม่น้ำสายเล็กสายน้อย (9 สาย) สามารถทำนาได้ปีละ 4 ครั้งเช่นกัน ข้าวที่ได้จากภาคใต้ของเวียดนามมีรสชาติอร่อยที่สุดและมักใช้เพื่อการส่งออก จะมีขายในประเทศเหมือนกันแต่จะราคาแพงกว่าข้าวจากภาคเหนือ

เศรษฐกิจ

 
Per Capita Income (รายได้ต่อหัวของประชากร)
 


ที่ดินสำหรับอยู่อาศัยในเมืองราคาสูงมาก เช่น ในเมืองฮานอยตารางเมตร (ย้ำ ตารางเมตร) ละ 1 ล้านบาท  เราจึงเห็นบ้านที่นี่มีรูปทรงสูงหลายชั้นขึ้นไปบนอากาศ อาจจะเป็นสาเหตุให้สาวๆ เวียดนามรูปร่างดีก็ได้นะครับ เพราะเดินขึ้นๆ ลงๆ ที่บ้านวันละหลายรอบ บรรดาโรงงานก็อาศัยการเช่าที่จากรัฐบาล เวียดนามมีรายได้ขั้นต่ำราว 170 บาท/วัน เราเห็นห้าง BigC อยู่หลายห้างเหมือนกันในกรุงฮานอยและรอบๆ เมือง และผู้นำทางของเรายังบอกว่ามีห้าง Makro อยู่ด้วยเช่นกัน จากการสอบถามเรื่องการลงทุน ในปัจจุบันมีชาวไต้หวันมาลงทุนมากที่สุด รองลงมาคือเกาหลี (โรงงานผลิตโทรศัพท์มือถือใหญ่ก็อยู่ที่เวียดนาม) และญี่ปุ่น มีโรงงานประกอบรถยนต์เช่น โตโยต้า ฮอนด้า (สำหรับฮอนด้านี้เห็นตัวโรงงานด้วย) รถที่นิยมก็รถญี่ปุ่น และทั้งรถจักรยานยนต์และรถยนต์มีราคา (เป็นเงินบาท) สูงกว่าไทยราวหนึ่งเท่าตัว

ถนนในเมืองจำกัดความเร็วเพียง 30-50 กม./ชม. ถ้าเป็นนอกเมืองก็ราว 60-80 กม./ชม. นานๆ ทีจะเจอถนนที่มี speed limit 100 กม./ชม. คนเวียดนามขับรถได้น่าตื่นตาตื่นใจมาก คือมีระเบียบ (เคารพกฏจราจร) ในความไม่มีระเบียบ คือขับพัวพันกันไปหมด แต่มีข้อดีคือการยอมให้กันและกันและใช้ความเร็วต่ำ แม้จะดูสับสนแต่อุบัติเหตุก็เกิดน้อยและน่าแปลกใจว่ารถยนต์ส่วนใหญ่ (หรือแทบทุกคนที่เราเห็นก็ว่าได้) แทบจะไม่มีรอยขูดขีด หรือรอยชนให้เห็นเลย

ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม


ประวัติศาสตร์ชาติของเวียดนามนั้นยาวนานมาก แรกเริ่มถูกปกครองโดยจีนมานับพันปี ทำให้เราเห็นประเพณีจีนปนอยู่ไม่น้อย (เช่น มีสีมงคลเป็น แดง เหลือง ขาว น้ำเงิน มีฮวงซุ้ย เป็นต้น) และมีการนับถือลัทธิขงจื้อในแบบของจีน ในช่วงที่ถูกปกครองโดยฝรั่งเศสก็ถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรมตะวันตก แต่สุดท้ายแล้วมีการรวมชาติโดยผู้นำ (โฮจิมินห์) ที่เรียกร้องการต่อสู้กับทั้งฝรั่งเศสและอเมริกา จนสามารถเอาชนะและขับไล่ฝรั่งเศสออกไป และประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ ฝรั่งเศสยอมลงนามในสัญญาเจนีวาให้เวียดนามเป็นชาติอิสระในปี พ.ศ. 2497 หลังจากที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ในยุทธการที่เดียนเบียนฟู

ต่อมาในปี พ.ศ. 2502 เกิดสงครามเวียดนาม สหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรอื่นเข้าร่วมสงคราม โฮจิมินห์ซึ่งอยู่ในวัยชราที่แม้จะได้รับการนับถืออย่างสูงสุดอยู่ก็ตามได้ประกาศว่าต้องการลดบทบาททางการเมืองลงและเสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2512 ทำให้ไม่ได้อยู่ชื่นชมผลการรบที่สุดท้ายแล้วเวียดนามเหนือเป็นฝ่ายชนะในปี พ.ศ. 2518 และรวมเวียดนามเหนือ-ใต้เป็นประเทศเดียวและทำให้เวียดนามจึงมีระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์สืบต่อมา ปัจจุบันร่างของโฮจิมินห์ถูกบรรจุในโลงแก้วเพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้เคารพที่จตุรัสบาดิงห์กรุงฮานอย

ไปล่องเรือที่นิงห์บิงห์


ล่องเรือลอดถ้ำที่เมืองนิงห์บิงห์


ล่องเรือ-พายเรือด้วยเท้า


หลังจากลงที่สนามบินนอยไบ เราขึ้นรถตู้เดินทางไปที่เมือง นิงห์บิงห์ (ชาวเวียดนามออกเสียงว่า "นิงบิ่ง") เพื่อล่องเรือชมถ้ำที่ฮาลองบก เดินดูตลาดที่เมืองนิงห์บิงห์ซึ่งอาจจะบ้านนอกสักนิด แต่โอเคเลย จะสังเกตได้ว่าการล่องเรือชมถ้ำที่นี่จะนั่งกันลำละ 2-4 คน แต่ถ้าพายแบบสบายก็ลำละ 2 คนก็พอ คนที่พายก็เป็นชาวบ้านที่มีงานประจำคือทำนา ดังนั้นการพายเรือพานักท่องเที่ยวชมถ้ำจึงเป็นงานอดิเรก เราก็ให้ทิปกันไปคนละ 50-100 บาทไทยแล้วแต่ความประทับใจ และถ้าสังเกตให้ดีจะสามารถใช้ทั้งมือหรือเท้าพายเรือก็ได้ แบบนี้จะบอกว่ามือไม่พายเอาเท้าราน้ำไม่ได้แล้วนะ เพราะมือไม่พายแต่เท้าพายได้เห็นๆ เลยล่ะ หลังจากชมวิวเสร็จก็พายกลับมาขึ้นฝั่งก่อนโดดขึ้นรถขยับมาทานอาหารกลางวันพร้อมแวะซื้อของนิดหน่อยในตลาดเมืองนิงห์บิงห์

ตลาดเมืองนิงห์บิงห์ มีร้านค้าชาวบ้านแบบง่ายๆ ประปรายให้ซื้อเสื้อผ้า ของใช้ต่างๆ


ทานข้าวกันเสร็จ ก็เดินดูของเล็กๆ น้อยๆ ขอเล่าให้ฟังสักนิดว่า ร้านค้าต่างๆ จะรับเงินดองเป็นหลัก แต่หลายร้านโดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยวจะไม่รังเกียจทั้งดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาและเงินไทย ส่วนเงินทอนนั้นถ้าให้เป็นสกุลอื่นที่ไม่ใช่เงินดองก็ทอนกันตามแต่จะสนทนากันได้ นั่นคือ ดอง ไทย ดอลล่าร์ หรือแม้แต่ผสมกันก็มี ดังนั้นใครจะไปก็คิดเลขเก่งๆ ก็จะสนุกขึ้นเชียว (เท่าที่พบ ไม่มีพ่อค้า-แม่ค้า โกงการแลกเปลี่ยนหรือทอนเงินแต่อย่างใดนะครับ)

ชมละครหุ่นกระบอกน้ำ (Water puppet)


การแสดงหุ่นกระบอกน้ำที่โรงละคาร เมืองฮานอย


หลังจากเหงื่อไหลไคลย้อยคอสมควรจากการล่องเรือชมถ้ำที่เมืองนิงห์บิงห์ เราก็กลับมายังฮานอยในตอนบ่ายแก่เพื่อรอชมหุ่นกระบอกน้ำ (Water puppet) เป็นการแสดงชักหุ่นกระบอกประกอบการบรรเลงดนตรีสดโดยนักดนตรีที่ใช้เครื่องดนตรีโบราณพื้นบ้านของเวียดนาม การแสดงหุ่นกระบอกน้ำเป็นการละเล่นพื้นบ้านโบราณของชาวเวียดนาม มีถิ่นกำเนิดบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง หุ่นจะถูกชักอยู่บนผิวน้ำผ่านท่อนไม้ที่จมอยู่ในน้ำ (ผู้ชมมองไม่เห็น) การแสดงแบ่งเป็นชุดๆ โดยแต่ละชุดเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิต การทำมาหากิน ศิลปการละเล่นพื้นบ้านของชาวเวียดนาม (เรื่องราวของ จักรพรรดิเล เหล่ย แห่งราชวงศ์เล ที่คืนดาบให้กับเจ้ามังกรก็เป็นชุดหนึ่งในการแสดงนี้ด้วย)

ไป อ.ซาปา จ.เลากาย

หมู่บ้าน ก๊าจก๊าจ วิวสวย ของช้อปปิ้งเยอะ ราคาไม่แพง


หลังจากที่เราพักผ่อน กินข้าวเย็นเรียบร้อย ก็มานั่งกินกาแฟหน้าสถานีรถไฟเพื่อนั่งรถไฟไป จ.เลากาย ห่างจากกรุงฮานอย 400 กม. ที่จริงจะเรียกว่านั่งก็ไม่ถูกเพราะเรานอนกันไป รถไฟออก 22.00 น. ไปถึง จ.เลากาย เวลา 06:00 น. เพื่อไป หมู่บ้านก้าจก้าจ (ชื่อตัวอักษรเวียดนามเขียนด้วยอักษรโรมันว่า Cat Cat) ไปดูวิถีชีวิตของชาวบ้านใน อ. ซาปา และยังมีน้ำตก เตียนซา ให้เราดูอีกด้วย อ.ซาปา สูงจากระดับน้ำทะเล 2,000 เมตร ในช่วงตรุษจีนจะเต็มไปด้วยดอกท้อ และมีหิมะตกบางปีในหน้าหนาว ซาปาเริ่มเป็นที่สนใจในการท่องเที่ยวของคนไทยราว 4-5 ปีที่ผ่านมา วิวที่น่าสนใจคือ นาขั้นบันได สิ่งก่อสร้างในเมืองซาปาอาจจะมีกลิ่นไอของฝรั่งเศสอยู่ เนื่องจากเคยใช้เป็นที่พักผ่อนของชาวฝรั่งเศสมาก่อน นอกจากวิวขั้นบันไดแล้วก็ยังมีน้ำตกสวยๆ ให้ดูด้วย โดยแบ่งเป็นน้ำตกเล็กน้ำตกน้อยอีก แถมด้วยเขื่อนเล็กๆ ที่ทำหน้าที่ชะลอน้ำอีกด้วย

น้ำตกซิลเวอร์

 
น้ำตกซิลเวอร์ - มือเก่าหัดขับ
 

เรายังอยู่ที่อำเภอซาปา กัน ในช่วงบ่ายเราเดิน (ที่จริงต้องเรียกว่าปีนมากกว่า) ไต่ขึ้นบนเขาเพื่อชมน้ำตกซิลเวอร์ ขาขึ้น 300 เมตรและลงอีก 300 เมตร เรียกว่าขาลงนี้แทบจะไหลลงมาเลยทีเดียวครับ ช่วงกลางคืนเราเข้าที่พักที่โรงแรม Holiday Sapa ที่มีวิวติดภูเขาสวยงาม ตอนค่ำก็เดินลงมาชมตลาดที่เป็นถนนคนเดิน ผู้คนมากมายดูคึกคักสนุกสนาน มีทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติเต็มไปหมดจนลืมว่านี่เป็นประเทศสังคมนิยมที่ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ขากลับห้องก็ซื้อขนมและเครื่องดื่มของเวียดนามกลับเข้าที่พักเพื่อชิมก่อนนอนสักหน่อย

วิวริมทาง ก๊าจก๊าจ-ซาปา


ไปดูดอกไม้บนหนูยห่ามสย่ม (เราหอบแฮ่ก แต่ชาวพื้นเมือง แบกไม้ไผ่ฟ่อนใหญ่แซงเราไปเฉยเลย)


เช้าขึ้นมาหลังทานข้าวเสร็จ นึกว่าจะรอดจากการปีนเขา ปรากฏว่า "คุณเป็ด" ที่เป็นผู้นำทางของเรายังมีกำหนดการให้เราเดินขึ้นเขาไปชมสวนดอกไม้ อยู่บนยอดเนินที่เรียกว่า หนูยห่ามสย่ม (หนูย-ภูเขา ห่าม-ปาก สย่ม-มังกร) ข้างบนมีสวนดอกไม้สวยงามและมีรูปปั้นของ 12 นักษัตรตามราศีต่างๆ แต่น่าสนใจตรงที่ถ้าเป็น ปีชวดก็เป็นรูปปั้นมิกกี้เม้าส์กันเลยทีเดียว

หมู่บ้านตาวาน

 
นาขั้นบันไดของหมู่บ้านตาวาน


หมู่บ้านตาวาน


เป็ดฝูงนี้มาต้อนรับ เลยเป็นห่วงถามไปว่าเป็นเป็ดไข่หรือเป็ดเนื้อ
ถ้าเป็นเป็ดไข่ก็อยู่เห็นกันนานหน่อย ถ้าเป็นเป็ดเนื้อคงอยู่ไม่นาน


สาวน้อยแห่งหมู่บ้านตาวาน


เดินลงมาจากหนูยห่ามสย่ม นั่งกินน้ำพักผ่อนเสร็จก็เดินทางไปหมู่บ้านตาวาน (คนเวียดนามออกเสียงว่า ต๋าวาน และคนไทยอาจจะเรียกเพี้ยนเป็นหมู่บ้านตาหวานเอาง่ายๆ) เพื่อดูนาขั้นบันไดกันให้ชัดๆ อีกที รถตู้ส่วนตัวของเราพามาส่งที่หมู่บ้าน อาจจะเพราะเรา (และทุกคนอื่นๆ ที่มาเยือนหมู่บ้านนี้) ถือเป็นแขกวีไอพีของที่นี่ จึงมีเด็กๆ ที่มีลักษณะเหมือนชาวเขา (ที่จริงก็ไม่เหมือนหรอกครับ แต่ว่าใช่เลยมากกว่า เนื่องจากพื้นที่ห่างไกลของเวียดนามนั้นก็ประกอบด้วยชาวเผ่าจำนวนหลายเผ่า) จำนวนมากมาห้อมล้อมพร้อมเสนอของสวยๆ งามๆ ให้นำติดตัวกลับไปด้วย ถ้าเราไม่สนใจก็ไม่เป็นไรในขณะที่ได้ยินนักท่องเที่ยวตะวันตกบางคนบอกเป็นภาษาอังกฤษว่า ซื้อจนไม่มีเงินแล้วล่ะแล้วก็หัวเราะ ก็ไม่แน่ใจว่าเด็กๆ จะเข้าใจหรือเปล่าเหมือนกัน เราเดินรอบๆ หมู่บ้านตาวานซึ่งมีระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร วิวทิวทัศน์ที่หมู่บ้านนี้สวยงาม สดชื่นเต็มไปด้วยทุ่งนาข้าว แปลงผัก เป็ด เล้าสุกร (ตรงนี้กลิ่นหอมหน่อย) บ้าง เรียกว่าแทบจะอยู่ได้ด้วยตัวเองเลย เราสอบถามผู้นำทางได้ความว่าข้าวทีปลูกมีไว้กินเอง ไม่ได้ขาย เมื่อเราถามว่าแล้วชาวบ้านมีรายได้ที่เป็นตัวเงินจากไหน ก็ทราบว่าจากการรับจ้างทำงานอื่น หรือการขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้กับนักท่องเที่ยว หรือค้าขายอย่างอื่นนั่นเอง

เฉียดดินแดนจีน

ชายแดนเวียดนาม-จีน มีแน่น้ำแดงเป็นแนวเขตแดน มีสะพานข้ามไปฝั่งจีนได้ อีกฝั่งเป็นประเทศจีน
 
แวะไหว้พระ ขอพรสักหน่อย แถวริมชายแดนนั่นเอง
 

หลังจากที่เราเดินทางออกจากอำเภอซาปา กลับมายังตัวเมืองในจังหวัดเลากาย มีเวลาเหลือนิดหน่อยเราจึงเดินทางต่อขึ้นไปยังริมแม่น้ำแดงซึ่งเป็นเขตแดนกั้นระหว่าง อ.เมือง จ.เลากาย ของเวียดนามและอำเภอเหอโข่ว (Hekou) เขตหงเหอ (Honghe) ของประเทศจีน เราเดินเล่น ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ไหว้พระในวัดเล็กๆ ที่อยู่ริมแม่น้ำและเกือบติดสะพานข้ามไปฝั่งประเทศจีน จากนั้นก็ขึ้นรถมายังร้านอาหารที่อยู่บริเวณหน้าสถานีรถไฟของเมือง เลากาย เพื่อรอขึ้นรถไฟตู้นอนเดินทางกลับกรุงฮานอยในเวลา 21:00 น.

เที่ยวต่อในฮานอย


เวลา 05:15น. รถไฟหน้าตาไม่ทันสมัยเท่าไรนักก็พาเราเดินทางผ่านระยะทางประมาณ 400 กม. มาถึงกรุงฮานอยอย่างปลอดภัย เราขึ้นรถตู้ส่วนตัวมายังโรงแรม Sunny ซึ่งเราเช่าโรงแรมแบบใช้งานกลางวันหรือ day use ชั่วคราวเท่านั้นเพราะไม่ได้นอนที่นี่โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อล้างหน้า อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ทำธุระส่วนต้ว ก่อนจะเดินทางต่อไปเท่านั้น

วิหารวรรณกรรม Văn Miếu (Temple of Literature)

ทางเดินเข้าวิหารวรรณกรรม ร่มรื่นมากเต็มไปด้วยต้นไม้ แม้แดดจะแรงไปสักนิดก็ตามที
 
รูปปั้นเต่าที่เชื่อกันว่าเมื่อจับหัวแล้วจะขอพรให้สอบได้ หัวเลยมันแผล็บแบบที่เห็นนี่ล่ะ
 
แท่นไหว้ท่านขงจื๊อ
 
ถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของเวียดนามก็ว่าได้ เป็นสถานที่ใช้สอบจอหงวนของประเทศในอดีต ภายในมีรูปปั้นขงจื๊อที่เป็นลัทธิที่ชาวเวียดนามรับถือมาก่อน (รับวัฒนธรรมมาจากจีน) ขงจื้อให้หลักการของสิ่งของในโลกนี้มี 5 ประเภทคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และโลหะ ในวิหารวรรณกรรมก็เป็นที่เก็บรูปปั้นของอธิบดีการศึกษา (เทียบได้กับเจ้ากระทรวงศึกษาธิการ) คนแรกของเวียดนามอีกด้วย  บริเวณชายคาของทางเดินมีรูปปั้นเต่าที่เชื่อกันว่าถ้าเอามือลูบหัวแล้วจะทำให้สอบผ่าน ก็ไม่รู้ว่าจับกันมาตั้งแต่สมัยสอบจอหงวนหรือเปล่าเหมือนกัน แต่ที่สังเกตเห็นได้ก็คือคงถูกจับมากจนหัวเต่ามันแผล็บจนต้องเอารั้วเตี้ยๆ มากั้นไว้ (นึกถึง หน้าอก จูเลียตในเมืองเวโรน่าที่อิตาลี นั่นก็ถูกนักท่องเที่ยวทั้งชายหญิงจากทั่วโลกจับเสียจนเรียบมันเช่นกัน) แต่ผู้นำทางเล่าว่าถ้าคนเฝ้าเผลอก็ยังมีคนแอบปีนรั้วไปลูบหัวเต่าจนได้นั่นแหละ  ณ ที่นี้เราก็แวะซื้อของที่ระลึกนิดๆ หน่อยๆ กลับมาเมืองไทยด้วย

เยี่ยมสุสานโฮจิมินห์

 
ที่จริงแล้วเรามีแผนจะเข้าบริเวณสุสานนี้ก่อน แต่ไม่สามารถเข้าได้เนื่องจากมีพิธีในช่วงเวลานั้นพอดี (วางพวงมาลา) เราจึงเดินไปยังวิหารวรรณกรรมที่อยู่บริเวณใกล้เคียงก่อน แล้วค่อยเดินกลับมายังสุสานโฮจิมินห์นี้อีกครั้งหนึ่ง

ทำเนียบท่านผู้นำ คุณ "ลุงโฮ" ไม่ชอบอาคารนี้เพราะมีกลิ่นไอของฝรั่งเศส
 
คุณ "ลุงโฮ" มาอาศัยอย่างเรียบง่ายใน "บ้าน 54" ซึ่งเดิมเป็นที่พักช่างไฟฟ้า
 
คุณ "ลุงโฮ" ชอบใช้รถคันเล็กสองคันขวามือ คันใหญ่ทางซ้ายใช้รับแขกเพราะกันกระสุนได้
 

เป็นที่เก็บร่างของ โฮจิมินห์ หรือที่ชาวเวียดนามเคารพนับถือเรียกว่า "ลุงโฮ" หลังเสียชีวิต แต่ก่อนหน้านั้นคือตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 ท่านก็พำนักอยู่ที่บริเวณนี้ (ถึงตรงนี้ขอเรียกเป็นปี ค.ศ. สักครู่เพราะเป็นชื่อเลขที่บ้านด้วย) ในบ้านที่เรียกว่า เลขที่ 54 บ้านหลังแรกเดิมเป็นที่อยู่ของช่างไฟฟ้าที่คอยดูแลอาคารหลังใหญ่แบบฝรั่งเศส แต่ท่านไม่ชอบฝรั่งเศสจึงไม่ยอมพำนักบนอาคารหลังใหญ่เพราะมีลักษณะของฝรั่งเศส จนปี ค.ศ. 1958 ก็สร้างบ้านอีกหลังหนึ่งในบริเวณเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้หรูหราไปกว่าเดิมนัก ภายในบ้านมีรถยนต์ 3 คัน ปกติจะใช้คันเล็กสองคัน ส่วนคันใหญ่สีดำมีไว้รับแขกเพราะสามารถกันกระสุนได้ โฮจิมินห์หรือ "ลุงโฮ" เป็นที่เคารพนับถือของคนเวียดนามเพราะเป็นผู้ที่รวบรวมชนเผ่า 54 เผ่าเข้าด้วยกันก่อนช่วยกันขับไล่ฝรั่งเศสและอเมริกาออกไป จนสามารถรวบรวมเป็นชาติเวียดนามได้ ภายในบริเวณทำเนียบยังปลูกต้นไม้ร่มรื่นเพราะ ลุงโฮ เป็นคนชอบต้นไม้และสัตว์เลี้ยงต่างๆ ในบริเวณบ้านพักท่านจะปลูกพืช ผลไม้ไว้ ปัจจุบันนี้เมื่อบรรดาส้มโอและผลไม้ต่างๆ ในบริเวณทำเนียบออกผลสุก ผู้ดูแลก็จะตัดนำไปถวายลุงโฮโดยไม่นำไปขาย

เจดีย์เสาเดียว (One Pillar Pagoda)

วัดหรือเจดีย์เสาเดียว เป็นที่นับถือของชาวเวียดนาม นิยมสักการะเพื่อขอลูกหรือคนรัก เป็นต้น


เราอาจจะเรียกกันว่า วัดเสาเดียว ก็ได้ อยู่ชิดติดกันกับทำเนียบท่านโฮจิมินห์นั่นเอง สามารถเดินทางด้วยรถยนต์ก็ได้แต่รับรองว่าเดินไปเร็วกว่าเยอะเลย  ด้วยการเดินทะลุรั้วเลาะด้านข้างทะเนียบแล้วเดินเข้าประตูวัดไป เป็นวัดที่เล่ากันว่ามีอดีตกษัตริย์พระองค์หนึ่งมีอายุมากแล้ว แต่ไม่มีลูก จึงอธิษฐานขอให้มีลูก ทรงสุบินไปว่าเห็นเจ้าแม่กวนอิมได้มาปรากฎที่สระบัวและได้ประธานโอรสให้กับพระองค์ หลังจากนั้นมเหสีก็ทรงตั้งครรภ์พระโอรส จึงได้สร้างเจดีย์ขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนเสาต้นเดียวกลางสระบัวเพื่อเป็นการถวายสักการะแด่เจ้าแม่กวนอิม ในปี คศ. 1049  วัดนี้มีรูปเจ้าแม่กวนอิมอยู่ภายในและเป็นที่เคารพของคนเวียดนามด้วย ว่ากันว่าใครอยากมีคู่หรืออยากมีลูกก็มาขอได้ที่วัดแห่งนี้ (ส่วนจะมีคนมาขอหวยหรือไม่ หรือจะถูกไหมนั้นผมหาข้อมูลไม่ได้เหมือนกันครับ)

วิหารหงอกเซิน

วิหารหงอกเซินหรือ "เนินหยก" ที่ต้องเดินข้าม "สะพานแสงอาทิตย์"
(สะพานสีแดงที่เห็นในภาพ) ไปยังตัววิหารที่อยู่บนเกาะเล็กๆ ในน้ำ


คนเวียดนามออกเสียงว่า "หง่อกเซิน" (เสียง "หง่อก" จะสั้น) หงอกเซินแปลว่าเนินหยก ดังนั้นเราอาจจะเรียกว่าเป็นวิหารเนินหยกก็คงพอได้ (สำหรับชาวเวียดนามแล้ว วิหารต่างจากวัดคือจะไม่มีพระอาศัยอยู่ ในขณะที่วัดจะมีพระอาศัยอยู่) เราต้องเดินจากริมทะเลสาบผ่านสะพานเทฮุก (The Huc) หรือ"สะพานแสงอาทิตย์" ที่มีสีแดงระยะประมาณ 30 เมตรข้ามไปยังวิหารที่เป็นเหมือนเกาะเล็กๆ อยู่ริมทะเลสาบ ภายในวิหารจะมี "ทวดเต่า" เก็บอยู่ (มีตัวจริง) แต่มีเรื่องเล่าว่าในศตวรรษที่ 15 จักรพรรดิเล เหล่ย แห่งราชวงศ์เล ได้ใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์ในการขับไล่ชาวจีนแห่งราชวงศ์หมิง ที่เข้ามารุกรานให้ออกไปจากเวียดนาม ในขณะที่พระองค์ประทับบนเรือ ณ ทะเลสาบแห่งนี้ ก็มีตะพาบยักษ์ (คนเวียดนามเรียกว่าทวดเต่า) ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำและบอกให้พระองค์ส่งดาบนั้นกลับคืนแด่เจ้ามังกร ดาบนั้นก็ได้พุ่งออกจากฝักดาบเข้าไปในปากของตะพาบยักษ์ก่อนที่จะหายกลับลงไปสู่ใต้ผิวน้ำ จึงเป็นที่มาของชื่อ "ทะเลสาบคืนดาบ" หรือทะเลสาบฮหว่านเกี๊ยม (Hồ Hoàn Kiếm - แปลกดีเหมือนกันที่ไกด์ชาวเวียดนามออกเสียงว่า โห่-เฮือม) นี้ บริเวณกลางของทะเลสาบมีหอกลางน้ำ "ทาบพรั่ว" (Thap Rua) ซึ่งแปลว่าหอคอยเต่า เราสามารถเห็นและถ่ายภาพได้ชัดเจน ว่ากันว่า "ทวดเต่า" นั้นมีจริงแต่เรื่องเกี่ยวกับการคืนดาบนั้นอาจจะเป็นเรื่องตำนานครับ

การจราจรของเวียดนาม


เรามักได้เห็น หรือได้ยินเรื่องเล่าของการจราจรที่อลหม่านภายในเมืองใหญ่ๆ ของเวียดนามกันมาบ้าง คราวนี้ผมมีประสบการณ์จริงมาด้วยเลย จาก
การสังเกตสิ่งต่างๆ สามารถเล่าให้ฟังได้ดังนี้
  • รถยนต์เป็นพวงมาลัยซ้าย ดังนั้นจึงขับชิดด้านขวาของถนน
  • การกดแตร เปิดไฟสูง ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้หมายถึงการไล่ให้ไปโดยเร็วแต่อย่างใด อย่างน้อยที่สังเกตก็ไม่มีใครคิดจะไปเร็วขึ้น ผู้นำทางบอกว่าคนเวียดนามนี่เวลาจะซื้อรถจะดูแตรก่อนว่าเสียงเพราะไหม กับดูเบรคว่าดีหรือเปล่า เพราะของสองอย่างนี้ใช้งานหนักมาก ขอบอก
  • การข้ามถนน ถ้าข้ามกันหลายคนให้เดินเป็นหน้ากระดาน (รถจะมองเห็นเป็นแนวเดียวซ้อนกัน และหลบง่าย) โดยเดินหน้าไปเรื่อยๆ อย่าเปลี่ยนทิศทาง รักษาความเร็วให้คงที่ ห้ามหยุด ห้ามถอยหลัง เดี๋ยวคนขับรถจะหลบให้เอง ทีแรกคิดว่าจะไม่รอดเสียแล้ว แต่วิธีที่บอกมาก็ทำให้รอดมาได้ล่ะครับ
  • รถในเมืองเล็กๆ รวมทั้งบนทางขึ้นลงเขา ขับเก่งมาก เฉียดกันไม่เกินครึ่งคืบก็ผ่านกันไปได้ จนเป็นเรื่องตลกที่คุยกันเองว่า สาเหตุที่ไม่ค่อยมียุงในเมืองนี้ก็เพราะโดนรถเบียดตายหมดนั่นเอง

ค่าเงิน


ไหนๆ มาเที่ยวแล้วก็ต้องได้ประโยชน์ ได้ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ การลงทุน การเงิน บ้าง เท่าที่สังเกต สอบถาม และหาข้อมูลพบว่าเวียดนามมีเงินเฟ้อค่อนข้างสูง อาจจะพุ่งสูงมากเป็นบางช่วง จากการสอบถามความรู้สึกของชาวเวียดนามพบว่าในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นมาก ธนบัตรใบเล็กสุดของเวียดนามคือ 500 ดอง สูงสุดคือ 500,000 ดอง เท่าที่อยู่เราไม่เคยได้สัมผัสกับเหรียญกษาปณ์ของเวียดนามเลยเนื่องจากไม่เป็นที่นิยม (ค่าน้อย หนัก) และเผลอๆ ตัวโลหะที่ทำเหรียญจะมีค่ามากกว่าค่าที่ตราไว้บนตัวมันด้วยซ้ำไป

อัตราเงินเฟ้อย้อนหลัง (%)

ขอบคุณข้อมูลจาก: www.tradingeconomics.com

เมื่อเราใข้จ่ายเพื่อการกินบ้าง เที่ยวบ้าง ดื่มบ้าง เราจึงต้องควักเงินดองออกมาซึ่งดูเป็นตัวเลขจำนวนมาก เช่น ถ้าดื่มน้ำอัดลมก็กระป๋องละ 15,000-25,000 ดอง (คือ VND หรือ Vietnamese Dong ) หรือซื้อผลไม้ปอกเสร็จก็ประมาณ 100,000 ดอง (1 กิโลกรัม) อยากทราบว่าเป็นเงินไทยเท่าไรก็หารด้วย 600 โดยประมาณ  เรียกว่ากินอะไรทีหนึ่งนี่จ่ายกันเป็นหมื่นเป็นแสนเลย รู้สึกคล้ายๆ จะรวยยังไงไม่รู้สินะ  พอจำนวนตัวเลขมันเยอะ ร้านค้าก็อาจจะติดราคาเป็น "จำนวนพัน" (K) เช่นของราคา 280,000 VND ก็เขียนเพียง 280 เป็นอันรู้กัน  ร้านค้าเล็กๆ ที่นี่อาจจะรับเพียงเงินเวียดนาม ส่วนร้านค้าใหญ่ขึ้นมาก็ยินดีรับดอลล่าร์สหรัฐอเมริกา รวมมาถึงเงินบาทของไทยเราด้วย (และมักทอนเป็นเงินดอง แต่ก็เคยเจอบางร้านที่แม่ค้าพูดไทยคล่องแคล่วและทอนเป็นเงินบาทผสมกับดอลล่าร์ก็มีนะ อันนี้จีบแม่ค้าบอกได้ว่าอยากให้ทอนเป็นอะไร)
และเมื่อมาดูประวัติของอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว เราเห็นว่าค่าเงินอ่อนลงเล็กน้อยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

อัตราแลกเปลี่ยน VND-USD ย้อนหลัง
จะเห็นว่าค่าเงินลดลงมาโดยตลอดอย่างช้าๆ


ขอบคุณข้อมูลจาก: www.xe.com

นิสัยทางการเงินของคนเวียดนาม


เราสอบถามชาวเวียดนามว่า ราคาบ้าน ราคารถยนต์แบบนี้ถือว่าแพงไหมเมื่อเทียบกับรายได้ต่างๆ ได้คำตอบแบบไม่ต้องคิดว่าแพงมาก (รถก็แพงภาษี ราคาที่ดินที่สามารถซื้อเป็นเจ้าของได้ก็แพงด้วย demand/supply คือมีคนต้องการขายน้อย) แต่คนเวียดนามก็จะเก็บหอมรอมริบ ไม่ยอมกู้เงินเพื่อซื้อสิ่งเหล่านี้ หลายคนซื้อรถ บ้าน ด้วยเงินสด เวลาทำงานไปก็เก็บเงินเป็นทองคำ ใส่ตู้เซฟเก็บเอาไว้ที่บ้าน เมื่อต้องการซื้อบ้านก็หอบทองไปซื้อ บางครั้งถ้าซื้อด้วยเงินสดก็หอบเงินไปเป็นกระสอบกันเลย นั่นคือคนเวียดนามไม่นิยมเป็นหนี้นั่นเอง

ตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม


มีสองตลาดคือ ตลาดหุ้น ฮานอย (HNX – Hanoi Stock Exchange) และโฮจิมินห์ (HOSE – Ho Chin Minh Stock Exchange)

HOSE index historical chart


 HNX index historical chart

ขอบคุณข้อมูลจาก: www.tradingeconomics.com

ส่วนถ้าเพื่อนๆ นักลงทุนสนใจการซื้อขายหลักทรัพย์ต่างๆ ของประเทศเวียดนาม สามารถดูวิธีการเปิดบัญชีได้จากเพื่อนสมาชิกพันทิป "พระอิฐพระปูน" ได้เขียนรายละเอียดไว้ดีพอสมควรแล้ว ผมจึงไม่ได้เขียนเพิ่มนะครับ รีวิวการเปิดบัญชีหุ้นและข้อมูลตลาดหุ้น โฮจิมินห์ เวียดนาม

หวยเวียดนาม


คำกล่าวอมตะหนึ่งที่เรามักได้ยินก็คือ คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น แต่เมืองไทยผมเองยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมปริมาณการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์จึงต่ำลงทุกวันประกาศผลการออกสลากกินแบ่ง (หรือเปล่า) ดังนั้นจะพาเที่ยวให้ครบเรื่องหุ้นก็คุยเรื่องหวยไปด้วยเลยก็คงไม่เป็นไร พูดถึงหวยเวียดนามคือสลากกินแบ่ง (ไหม) รัฐบาล ที่นี่ออกกันทุกวันนะครับ ซื้อได้ตั้งแต่ประมาณหกโมงเช้าของทุกวัน ยาวไปจนก่อนเวลาหวยออกเย็นวันนั้นเลย (18:00 น.) การขายก็ปักร่มขายกันริมถนนทางเดินเหมือนบ้านเรานี่ล่ะครับ  แบบนี้หวยหุ้นไม่ได้เกิดแน่นอน ราคาหวยก็ 10,000 VND และรางวัลต่ำสุดคือ 10,000 vnd เช่นกันเรียกว่าเป็นการคืนกำไรให้ผู้ซื้อก็ว่าได้ (แต่ต้องถูกรางวัลนะ ไม่อย่างนั้นก็จ่ายเงินให้คนอื่นไปตามระเบียบ) แต่ไม่น่าเชื่อว่าขนาดนี้ยังมีหวยใต้ดินให้ซื้อนะ สอบถามก็ได้ความว่าเพราะว่ามีโอกาสถูกรางวัลมากกว่า ก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าเพราะกติกาผิดกันอย่างไรเพราะทีแรกว่าจะลองสละเงินสัก 10,000 ดองลองซื้อดูสักหน่อย แต่ก็ไม่มีโอกาสสักครั้ง

กลับบ้าน


หลังจากอยู่เวียดนามได้หลายวันกับอีกหลายคืน เราก็เดินทางกลับประเทศไทยด้วยสายการบิน นกแอร์ และถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ ได้ทั้งความสนุก เหนื่อย เมื่อย เปียก (เหงื่อเต็มตัวในบางวัน และหลายๆ ครั้งในหนึ่งวัน) และเต็มไปด้วยความรู้มากมาย ถ้าเพื่อนนักลงทุนมีโอกาส อย่าลืมหาเวลาให้กับตัวเอง เปิดโลกทัศน์ให้ตัวเองเพื่อประโยชน์ในหน้าที่การงาน การลงทุนของเราต่อไป แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้านะครับ

แถมศัพท์เวียดนาม


ไหนๆ ก็ไปเวียดนามทั้งที มีศัพท์มาฝากเพื่อนๆ นักลงทุนนะครับ เผื่อวันใดได้ไปเยือนจะได้พอฟังออกหรือพูดได้ครับ
ซิน จ่าว - สวัสดี
ก่าม เอิน - ขอบคุณ
ซิน โหลย - ขอโทษ
สวย - แด็บ
สวยมาก - แด็บล้ำ
จาย - หล่อ
ด๋า - น้ำแข็ง
เนื้อก - น้ำ
โก๊บ (เสียงสั้น) - ถ้วย/แก้ว
เกิม - ข้าว
ลุย - ถอย (เอาล่ะ รถจะชนก็ตรงนี้แหละ)
โฝ - ถนน