วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ประสบการณ์เป็นสิ่งสำคัญ



สิ่งที่สำคัญมากอย่างหนึ่งในการลงทุนคือประสบการณ์ ประสบการณ์คือการที่เราเคยเห็นสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะทำเองหรือเรียนรู้จากคนอื่น ทั้งสำเร็จและผิดพลาด สะสมเป็นสิ่งที่เรารู้จากการเห็นและ/หรือสัมผัส สามารถนำมาใช้งานในการตัดสินใจหรืออื่นๆ ให้เป็นประโยชน์กับตัวเราเองได้ เรียกว่าประสบการณ์ ประสบการณ์จึงกลายเป็น ความรู้บวกสิ่งเคยเห็นและความรู้สึกที่เกิดขึ้น เช่น ตัวเลขต่างๆ ที่เกิดขึ้น การเคยเห็นทำให้รู้ว่า ตัวเลขนี้ มากเกินไป น้อยเกินไป ดีที่สุด เลวที่สุด หรือเป็นไปไม่ได้ (น่าสงสัย) สำคัญต่อการลงทุนมาก ตั้งแต่การเห็นโอกาส ไปจนถึงการเอาตัวรอดจากการถูกหลอก

ความแตกต่าง


ประสบการณ์จะต่างจากความรู้ที่เราสามารถหาได้จากการ อ่าน เรียน ต่างๆ ตามตำรา ทำให้เรารู้ในหลักการ สมการ การคำนวณต่างๆ เรารู้แต่ไม่ได้สัมผัสกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ไม่ได้มีอารมณ์ความรู้สึกไปกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ในทางวิศวกรรม รู้หลักการแต่ไม่รู้ตัวเลข ก็ออกแบบรถยนต์ เครื่องยนต์ ไม่ได้ ออกแบบวงจรไฟฟ้าไม่ได้ ในทางธุรกิจ การเงิน การลงทุนก็เช่นเดียวกัน เราจะไม่เห็นความผิดปกติ กลเม็ดเหลี่ยมกลโกงที่ซ่อนอยู่ด้วยความรู้เพียงลำพัง ประสบการณ์จึงเป็นส่วนเติมเต็มของหลักการ ให้นำไปใช้ได้จริง ตัดสินใจถูกต้องทั้งที่สำหรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์จะดูขัดกับที่ควรจะเป็น

สิ่งที่ประสบการณ์บอกเรา


นักลงทุนที่มีประสบการณ์ จะเคยเห็นตัวเลขต่างๆ ของธุรกิจหลากหลายในแต่ละช่วงวัยของธุรกิจเหล่านั้น เช่น เห็นว่าธุรกิจที่รุ่งเรืองในวันนี้มีตัวเลขและพฤติกรรมต่างๆ ในอดีตเป็นอย่างไร และในทางกลับกันก็คือเคยเห็นว่าธุรกิจที่ย่ำแย่ในวันนี้เคยมีตัวเลขและพฤติกรรมต่างๆ ในอดีตเป็นอย่างไร พฤติกรรมต่างๆ ที่ว่าก็คือหลักความคิดของผู้นำในองค์กร การดูแลพนักงาน การจัดการด้านการตลาด ความว่องไวในการรับการเปลี่ยนแปลง (reactive) และการคิดเพื่อป้องกันสิ่งต่างๆ ในอนาคต (proactive) สิ่งเหล่านี้ล้วนสำคัญและเป็นประสบการณ์ที่มีประโยชน์ทั้งสิ้น

ประสบการณ์ทำให้เรารู้ตัวเลขของ ยอดขาย , gross margin , net margin , roa , roe , p/e , p/bv , d/e ที่ควรจะเป็นของธุรกิจต่างๆ และจาก growth และ recess (การเติบโตและการถดถอย) จะรู้ว่ามันอยู่ในยามปกติ หรือกำลังจะโต หรือกำลังจะถอดถอย ของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ คือรู้เป็นตัวเลข ไม่ใช่เป็นแนวโน้ม นั่นคือประสบการณ์

ตัวอย่างของประสบการณ์


ไหนๆ เราก็พูดถึงประสบการณ์ต่างๆ แล้ว เรามาลองดูตัวเลขที่น่าจะหรือควรจะเป็นในกิจการที่ดีและเติบโตกันสักนิดน่าจะเป็นเรื่องที่ดี และทำให้เพื่อนๆ สามารถนำไปใช้งานได้ เช่น
  • ยอดขาย เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5-7% ต่อเนื่อง และสามารถ "หวัง" ได้ว่าจะมีบางปีที่เพิ่มมากเป็นพิเศษ
  • อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ควรเป็น 30% เป็นอย่างน้อย ยกเว้นของที่เป็นเจ้าตลาด คือป้องกันการเข้ามาของรายใหม่ได้ด้วย
  • ROA ควร 10-15% ขึ้นไป ถ้าสูงกว่านี้ดีแต่ต้องระวังว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่
  • ROE ควรอยู่ในช่วง 15-30% ปกติแล้วถ้า 18% ขึ้นไปถือว่าดี ถ้ายิ่งสูงยิ่งดีแต่ถ้าสูงมากเกิน 40-50% ให้ดูว่าหนี้มากเกินไปหรือไม่ หรือมีอะไรผิดปกติไหม (ได้กำไรพิเศษ ขายสินทรัพย์ ฯลฯ)
  • P/E ถ้าหุ้นปันผลก็ควรต่ำกว่า 10 ถ้าหุ้นเติบโตก็ อย่าให้เกิน 20-25 ถ้าเกินแล้วไม่โตมากจริงจะเริ่มเสี่ยง
  • P/BV ไม่เป็นไร แต่ถ้าต่ำมากๆ ให้สังเกตคุณภาพของสินทรัพย์ (ที่จริงเป็นส่วนของผู้ถือหุ้นหรือ Equity มากกว่า)
  • D/E สำคัญ ไม่ควรเกิน 1 สำหรับกิจการทั่วไป และไม่ควรเกิน 2 สำหรับกิจการที่รายได้แน่นอน ไม่เกิน 3 สำหรับสาธารณูปโภคผูกขาด แต่ก็ไม่สำคัญเท่ากับ payout ratio (ดูข้อต่อไปด้านล่าง)
  • Payout Ratio ว่ามีความสามารถในการใช้ดอกเบี้ยได้กี่เท่า และความสามารถในการทำกำไรว่าจะใช้หนี้ทั้งหมดได้ภายในกี่ปี (ถ้าต่ำกว่า 5 ปีถือว่าใช้ได้ ถ้าต่ำกว่า 3 ปีถือว่าเยี่ยม)
  • ความคิดก้าวหน้าของผู้บริหาร การให้ข่าว และการทำได้จริงตามที่พูด เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าผู้บริหารดี ความคิดก้าวหน้า และทำได้จริง เราย่อมเล็งเห็นและคำนวณสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น และลงทุนได้ง่ายขึ้น

แนวทางเกี่ยวกับความสามารถบริษัทและราคาหุ้น


ถ้าเราดูคร่าวๆ เกี่ยวกับความสามารถในการใช้ทรัพย์สินของบริษัทและราคาหุ้น ตัวเลขที่จะบอกเราได้ดีคือ ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) ตัวเลขที่เหมาะสมในการเติบโตตามปกติพอจะสรุปได้ดังตารางด้านล่างนี้


ถ้าถามว่า ROA, ROE ที่สูงมากๆ เช่น 30% ขึ้นไปนั้นดีหรือไม่ คำตอบคือน่าจะดีเช่นกัน แต่อาจจะมักตามมาด้วยราคาหุ้นที่ไม่ถูก (ทำไปทำมา P/E เลยสูงมาก) แต่ถ้าไม่พบข้อเสียอื่นและยังมีหุ้นเหล่านั้นหลงหูหลงตานักลงทุนหรือเป็นเพราะอยู่ในสภาวะที่ "กลัว" ทำให้ราคาถูกอยู่ก็น่าสนใจในการลงทุน ในทางตรงกันข้ามถ้าบริษัทมี ROA, ROE ต่ำหรือขาดทุนจนตัวเลขเหล่านี้ติดลบ การลงทุนจะเป็นลักษณะของการคาดการณ์ว่าบริษัทจะพลิกฟื้นขึ้นมาได้ นักลงทุนต้องมีข้อมูลที่ดีและแน่นหนาพอที่จะตัดสินใจลงทุนในบริษัทเหล่านั้นครับ

จากข้อมูลประสบการณ์ที่เป็นตัวเลขเหล่านี้ บวกกับการหามูลค่าที่เหมาะสมของบริษัท/หุ้น เพื่อนๆ ก็ลองดูว่าบริษัทที่สนใจมีลักษณะอย่างไร และสมควรในการลงทุนหรือไม่ ในระยะสั้น กลาง หรือยาวอย่างไรต่อไปนะครับ