วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559

มือเก่าหัดขับพาเที่ยวฟูกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น


ถ้าจะว่าไปแล้วชีวิตเราก็เหมือนกับการเดินทาง เราเดินทางจากการเกิดแก่เจ็บและตายจากโลกนี้ไป แต่ในระหว่างที่เรายังมีชีวิตอยู่ถ้าเป็นไปได้เราก็ควรจะเดินทางไปอยู่ในที่ที่แปลกและแตกต่างจากที่เราคุ้นเคยบ้างเพื่อเป็นประสบการณ์ชีวิต ในบางแง่มุมแล้วคนที่เดินทางบ่อยและเห็นอะไรๆ มามากกว่าย่อมมีความคิดสร้างสรรและมองโลกได้กว้างกว่า คราวนี้ก็เช่นกัน เมื่อมีโอกาส (ทั้งที่จริงแล้วเป็นความบังเอิญโดยที่ไม่ได้ตั้งใจมากกว่า) แต่สุดท้ายก็ทำให้ผมต้องเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่ง โดยคราวนี้เป็นการไปยังเกาะใต้คือเมืองฟูกุโอกะ บนเกาะคิวชู

เตรียมการเดินทาง

อย่างที่บอกมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า การเดินทางครั้งนี้เรียกว่าเป็นการเดินทางแบบไม่ได้ตั้งใจก็ว่าได้ จากการพูดคุยเพียงเล่นๆ ของเพื่อนสองสามคนว่าจะไปเที่ยวที่เมืองฟูกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น และด้วยความชุลมุนที่ไม่สามารถอธิบายได้ ทำให้มีรายชื่อผมร่วมในคณะเดินทางด้วย (จะว่าไป มีข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือ "ไม่ฟรี" นี่แหละ) โดยเป็นการเดินทางดูภูมิศาสตร์ ธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจในเมืองที่ห่างไกลจากเมืองหลวงในประเทศญี่ปุ่น
เนื่องจากคณะมีจำนวน 6 คน และเดินทางไปหลายจุดในระยะทางไกล เราจึงวางแผนกันว่าเราจะเช่ารถขับ เพื่อความรวดเร็วในการเดินทาง ดังนั้นจึงต้องมีผู้ขับขี่ และมีเพื่อนร่วมคณะหนึ่งคนที่เป็นตัวยืนอยู่แล้ว ส่วนตัวผมเป็น "option" ที่จะเป็นผู้ช่วยขับขี่ (มือสอง) ซึ่งมีก็ได้ไม่มีก็ไม่เป็นไร ตอนแรกผมเองก็รีรออยู่เป็นนาน จนก่อนการเดินทางเพียง 1 วันจึงตัดสินใจไปทำใบขับขี่สากล แต่ก่อนหน้านั้นผมอยากเปลี่ยนใบขับขี่ของไทยที่แต่เดิมยังคงเป็นกระดาษอยู่ไปเป็นพลาสติก พร้อมกับทำใบขับขี่สากลในวันเดียวกัน ใจก็คิดไปว่าจะทันหรือไม่ เพราะกว่าจะไปถึงสำนักงานขนส่งนนทบุรีก็เป็นเวลา 13:30 น. เข้าไปแล้ว แต่ด้วยความรวดเร็วของการบริการของสำนักงานขนส่งนนทบุรี ผมจึงสามารถทำใบขับขี่ใหม่ (ของไทย) และใบขับขี่สากลเสร็จในเวลาประมาณ 15.40 น. ต้องขอขอบคุณและชมเชยเจ้าหน้าที่ทุกท่านของสำนักงานขนส่ง จ. นนทบุรี ด้วยครับ


วันที่ 1 - อังคาร 4 ตค.

ออกเดินทางโดยสายการบินไทยจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง 55 นาที ถึงสนามบินนานาชาติ ฟูกูโอกะ บนเกาะกิวชู ซึ่งเป็นเกาะใต้สุดในจำนวน 4 เกาะใหญ่ของญี่ปุ่น (อีกสามเกาะคือ ฮอกไกโดด้านเหนือสุด เกาะใหญ่สุดคือฮอนชู  และชิโดกุ ซึ่งเป็นเกาะเล็กที่สุด) ลงมาถึงก็ต้องตามหารถที่เราเช่าเอาไว้

ตามหารถเช่า

 

เมื่อถึงสนามบิน สิ่งแรกหลังจากรับกระเป๋าสัมภาระเสร็จก็คือ เราจะเดินทางต่อไปอย่างไร แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นเพราะเราได้เช่ารถเอาไว้แล้ว ปัญหาต่อไปคือ "รถเราอยู่ไหน?" หลังจากสาละวนหาเอกสารที่จะติดต่อรถได้เมื่อเดินทางถึงสนามบินฟูกุโอกะที่ญี่ปุ่น ก็ต้องหาโทรศัพท์โทรไปตามว่าทำอย่างไรถึงได้รถมาขับ หลังจากหาโทรศัพท์สาธารณะพบเราก็จัดการโทรหาบริษัทรถเช่า ทำให้ทราบว่าเขาเอารถตู้มารอรับเราแล้วที่สนามบิน ให้ขนกระเป๋าขึ้นรถตู้เพื่อมายังสำนักงานของบริษัทได้เลย หลังจากเดินตามหาตู้ซึ่งหาไม่ยากเลยเพราะมีสีเหลืองสด เราก็ไปถึงสำนักงานของบริษัทรถเช่า จัดการเรื่องเอกสาร ประกัน แสดงใบขับขี่สากลที่ทำไปจากเมืองไทยเรียบร้อย ก็ได้กุญแจมาขับทันที

ไปศาลเจ้าดาไซฟู
 
 

 
 

หลังจากได้รถเช่ามา ปัญหาหนักอีกอย่างหนึ่งคือ เราตั้ง GPS ที่มีหน้าตาเมนูเป็นภาษาญี่ปุ่นไม่เป็น ทำให้ต้องเรียนรู้ ผสมเดา และจำเอาว่าต้องกดอะไรบ้างอยู่นาน เราขับขึ้นทางด่วนเพื่อไปศาลเจ้าดาไซฟูใน จ.ฟูกุโอกะ แต่ในญี่ปุ่นนั้นเมื่อเราขึ้นทางด่วน จะมีระบบจัดเก็บค่าทางด่วนด้วยบัตร ETC (Tohoku Expressway Pass คล้ายๆ Easypass บ้านเรา) แต่เมื่อตอนที่เราจองรถผ่านเว็บไซต์นั้นเราไม่สามารถหาว่าจะบอกล่วงหน้าว่าเราต้องการระบบ ETC ได้อย่างไร พอมาถึงเราจึงไม่มีระบบนี้ติดมากับรถด้วย คือมีแต่เครื่องไม่มีบัตร ว่างั้นเถอะ ทีนี้ปัญหาคือบางช่องทางการลงทางด่วนที่จะต้องจ่ายเงิน จะจ่ายได้ด้วยระบบ ETC นี้เท่านั้น ถ้าไม่มีระบบนี้ก็จ่ายไม่ได้ แปลว่าลงตรงนั้นไม่ได้! ไม่เหมือนเมืองไทยนะครับที่จ่ายเป็นเงินสดแทนได้ บางครั้งเราเลยจำใจต้องไปลงที่อื่น ทำให้ผิดแผนการไปบ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่ในที่สุดเราก็เดินทางไปถึงศาลเจ้าดาไซฟุ ที่เป็นจุดหมายแรกจนได้
เมืองดาไซฟุ (Dazaifu) เป็นเมืองเล็กยู่ใกล้กับเมืองฟูกุโอกะ เป็นศาลเจ้าที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรให้ประสบความสำเร็จในด้านการศึกษา เราจะเห็นเด็กนักเรียนชาวญี่ปุ่นเดินทางมาบริเวณศาลเจ้ากันมาก ในบริเวณก็มีร้านค้าร้านอาหารมากมายให้เลือกชิมเลือกนั่งพักผ่อน

ไปสะพานแขวน



 
 
 

หลังจากนั้นเราขับรถต่อไปยังสะพานแขวนชื่อว่า โคโคโนเอะ ยูเมะ ซัสเปนชั่น บริดจ์ สร้างเมื่อปี 2006 เป็นสะพานแขวนคนเดินที่ยาวและสูงที่สุดของญี่ปุ่น อยู่ใน จ. โออิตะ ที่จริงในการไปดูสะพานแขวนนี้พวกเราเกือบไม่ได้ไปแล้ว เพราะขับรถตามจีพีเอสไป ระยะทางช่วงสุดท้ายขึ้นๆ ลงๆ ไปตามทางลาดใหญ่น้อยของภูเขาก็ราวสิบกว่ากิโลเมตร สังเกตระหว่างทางว่ามีการปรับปรุง ซ่อมแซมถนนเป็นระยะ แต่เราก็ไม่ได้เอะใจอะไร จนเกือบจะถึงสะพาน ก็พบกับการก่อสร้างที่เราไม่สามารถผ่านไปได้ โดยมีกลุ่มช่างกำลังนั่งพักอยู่ข้างทาง เราจึงจอดรถถาม (แน่นอนครับ ด้วยหลากภาษาที่เรียกว่า multi-language โดยเริ่มจากภาษาอังกฤษของเรา ตามด้วยคำตอบเป็นภาษาญี่ปุ่น และจบลงด้วยภาษาใบ้ของทั้งสองฝ่าย แต่โดยสรุปแล้วเข้าใจได้ว่า "ทางปิด ไปต่อไม่ได้ ต้องอ้อมไปอีกด้านหนึ่ง" เราถึงกับต้องกลับรถอย่างทุลักทุเล แล้วค่อยๆ ขับลงมาทางเดิม คิดในใจว่าเราอาจจะต้องยกเลิกการแวะสะพานแขวนนี้ไป หรือไม่ก็กลับมาตั้งหลักก่อนเพื่อเดินทางในวันรุ่งขึ้น  ระหว่างทางเราจึงคิดว่าไหนๆ ก็มาแถวนั้นแล้ว แวะเพิงขายผลไม้นิดๆ หน่อยๆ ที่เราเห็นตอนที่ขับรถผ่านก่อนหน้าดีกว่า ขณะที่ซื้อและชิมผลไม้นั้นก็บอกคุณน้าแม่ค้าว่า เนี่ย เราอยากไปสะพานแขวนนะ แต่ถนนปิด ต้องย้อนลงมา และคงไม่ได้ไปแล้วเพราะอ้อมไปอีกทางหนึ่งไม่เป็น บังเอิญในร้านมีชายชาวญี่ปุ่นอยู่คนหนึ่ง พูดคุยกันเล็กน้อยแกอธิบายเส้นทางขับรถอ้อมให้เรา เท่านั้นไม่พอ พอเราขอบคุณเสร็จกำลังจะออกเดินทางตามคำอธิบายของแก อยู่ดีๆ แกก็อาสาขี่รถมอเตอร์ไซค์นำรถของเราไปยังสะพานให้ ทีแรกก็คิดว่าแกจะนำไปเพียงถึงจุดที่คิดว่าเราไม่หลงทางแน่ๆ แต่ปรากฏว่าคุณอา "เตชิมะ โทโมฮิโร" ขี่รถช่วยนำทางให้พวกเราจนถึงสะพานแขวน! ระยะทางไม่ต่ำกว่า 6-7 กม. (แต่เป็นทางขึ้น-ลงเขา ทำให้รู้สึกว่าไกลกว่าที่เป็นจริงมาก) เราจ่ายเงินค่าเข้าไปเดินเล่นบนสะพาน จากวิวบนสะพานสามารถเห็นน้ำตก ชินโด แม่น้ำนารูโกะ และเทือกเขาคูจู อย่างชัดเจน

วันที่ 2 วันพุธที่ 5 ตค. 59

อบทรายที่เบบปุ แซนด์บาธ



 

ตอนเช้าเราออกจากที่พัก แวะรับประทานอาหารด่วนยอดนิยมเพื่อประหยัดเวลา (ก็แม็คโดนัลด์ นั่นล่ะครับ) แล้วขับรถไปหมกทราย (อบทราย) ที่เบบปุ แซนด์บาธ (Beppu Sand bath) อยู่ริมทะเล เป็นทรายร้อน เพื่อสุขภาพ คล้ายการอบซาวน่า อบเป็นเวลานาน 10 นาที (ที่จริง เต็มที่ 15 นาที แต่สาวๆ ในคณะหมดแรงอึดเสียก่อน เลยออกมาเมื่อครบเพียง 10 นาที ใครที่อยากอบหรือหมกทรายก็เข้าไปในบ้านเล็กๆ เพื่อหมกๆ อบๆ ได้ ส่วนที่ไม่อยากอบทรายกับเขาก็เดินเล่นด้านหลังซึ่งติดกับทะเลเพื่อรอไปพลางๆ ได้เช่นกัน

ชมหมู่บ้าน ยูฟูอิน ต้นฉบับของโอทอป

 
 


 

 

เราขับรถไปหมู่บ้าน ยูฟูอิน เป็นหมู่บ้านต้นฉบับของโอทอปที่หลายแห่งในโลกนำไปดัดแปลงใช้เสริมสร้างเศรษฐกิจของชุมชนขนาดเล็กของตัวเอง มีสารพัดธุรกิจขนาดเล็ก กระเป๋า ร่ม ตะเกียบ เรียกว่าทั้งหมู่บ้านกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ต้องแวะไปชม โดยเฉพาะถ้าใครชอบนกก็มีสวนสัตว์นกฮูกตัวเป็นๆ ให้ถ่ายรูปด้วยกันได้ (ค่าเข้าคนละ 600 เยน และห้ามจับนก ห้ามใช้แฟลชในการถ่ายภาพ) หลังจากรับประทานอาหารแล้วก็เดินชมทะเลสาบ คินริน (Kinrin) ซึ่งที่จริงผมว่าดูเหมือนบ่อน้ำมากกว่า แต่มองไปก็มีปลาคาร์ฟตัวใหญ่ๆ อยู่หลายตัว และมีเป็ดสวยๆ ว่ายน้ำเล่นไปมาคอยต้อนรับนักท่องเที่ยว มองไปก็ดูเพลินพอควร

บ่อน้ำพุร้อนเมือง เบบปุ (Beppu)

 
 
 
 
 


ออกจากหมู่บ้านยูฟูอินเราขับรถต่อไปดูบ่อน้ำพุร้อนเบบปุ ที่จริงๆ แล้วแถบเมือง เบบปุ เอโสะ ฟูกุโอกะ มีความร้อนใต้ผิวดินค่อนข้างมาก สังเกตจากการมีไอ (น้ำ) ร้อนปะทุขึ้นจากผิวดินหลายแห่งมาก ประชาชนก็ต่อท่อขึ้นมาเพื่อให้ไอเหล่านี้สามารถไหลขึ้นมาสู่บรรยากาศได้ง่ายขึ้น  บ่อน้ำพุร้อนที่เราตั้งใจไปดูคือ ซึ่งมีทั้งหมด 8 บ่อหลักๆ ว่ากันว่าหลายบ่อมีสีสวยงามเช่นสีฟ้า (อูมิ ชิโกกุ - ชิโกกุ แปลว่าบ่อน้ำร้อน) ไปจนบ่อสุดท้ายที่มีสีแดง (ชิโนอิเกะ ขิโกกุ) แต่ละบ่ออยู่ใกล้กันบ้าง ไกลกันบ้าง แต่รวมความว่าโดยปกติแล้วเราต้องใช้เวลาเดินชมประมาณ 3 ชั่วโมง ค่าตั๋วก็แบ่งออกเป็นหลายราคา ทั้งชมแบบบ่อเดียว สองบ่อ เรื่อยไปจนถึง 8 บ่อทั้งหมด ซึ่งเราก็บอกคนดูแลนักท่องเที่ยวว่าเราอยากซื้อแบบ 8 บ่อนะ ถึงจะมาช้าเราก็ขอเลือกเอาเองว่าจะชมบ่อไหนบ้างเพราะคงไปไม่ครบเนื่องจากเวลาไม่พอ และบ่อคงปิดเสียก่อน ปรากฏว่า "พี่แกไม่ขายบัตรแบบ 8 บ่อให้" คร๊าบ โดยบอกว่าเราเอาไปก็แพงและดูไม่หมด ให้เลือกเป็นบ่อๆ แล้วซื้อแยกไปจะถูกกว่า พูดอย่างไรก็ไม่ยอมขายให้ เอากับแกสิครับ เรานึกชมในใจว่าช่างดูแลลูกค้าอย่างดีจริงๆ เป็นบ้านเราก็อาจจะไม่คิดอะไรแล้วขายๆ ไป คนจะดูทันไหมก็เป็นเรื่องของคุณเอง!

จุดชมวิวเมือง เบบปุ

 
 
 

หลังชมบ่อน้ำพุ เราออกเดินทางไปยังที่พักที่จองไว้ในเมือง เบบปุ นั่นเอง ระหว่างนั้นเราแวะจุดชมวิวที่จะเห็นเมืองและไอน้ำที่พวยพุ่งออกมาเป็นจุดๆ กว่าจะชื่นชมเสร็จก็เป็นเวลาใกล้ค่ำ ต้องขับรถไปยังที่พักแล้ว

วันที่ 3 พฤหัสบดี 6 ตค. 59

ชมสวนดอกไม้คูจู

 
 
 
 
 
 


ตื่นเช้ามาเราอาบน้ำแต่งตัว ขนกระเป๋าออกจากที่พักในเมือง เบบปุ แวะกินข้าวเช้ากันเรียบร้อยแล้วออกเดินทางไปสวนดอกไม้ คูจู (Kuju Flower Park) ในจังหวัด โออิตะ มีสวนดอกไม้ขนาดใหญ่พร้อมดอกไม้หลายหลากพันธุ์ให้นักท่องเที่ยวได้เดินเที่ยวชมและพักผ่อน งานนี้ก็เก็บภาพมาได้มากพอสมควร

แวะสักการะศาลเจ้าเอโสะ

 
 
 
 
 
 
 


จากนั้นเราเดินทางต่อ ขับรถลัดเลาะเส้นทางมาศาลเจ้าเอโสะ ซึ่งมีร่องรอยความเสียหายจากแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2559 อย่างชัดเจน แผ่นดินไหวครั้งนั้นมีขนาดราว 7 บนมาตราริกเตอร์ และมีประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายคน บ้านเรือนเสียหาย ถนนหลายเส้นเสียหาย เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ศาลาหลายหลังของวัดแห่งนี้เสียหายถล่มลงมา และยังไม่ได้รับการซ่อมแซมในขณะที่เราไปเยี่ยมเยือน แต่ขึ้นชื่อว่าประเทศญี่ปุ่นแล้ว อีกไม่นานคงได้รับการบูรณะให้อยู่ในสภาพดีจนได้

ไปเทือกภูเขาไฟเอโสะ

 
 


อาจจะฟังดูแปลกๆ เพราะที่จริงแล้วเป็นเทือกเขา แต่เนื่องจากว่าเป็นกลุ่มของภูเขาไฟ ผมเลยขอเรียกเป็นพิเศษว่า เทือกภูเขาไฟ ก็แล้วกันนะครับ กำหนดการต่อไปคือไปดูเทือกภูเขาไฟ อาโสะ นี้ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังคงปะทุได้อยู่ ไปยอดภูเขาไฟ นาคะดาเคะ ตั้งอยู่ในอำเภออาโสะ จังหวัดคุมาโมโตะ ซึ่งเป็นหนึ่งในภูเขาไฟที่มีปล่องใหญ่ที่สุดในโลก แต่ไม่สามารถขึ้นรถกระเช้าขึ้นไปได้เนื่องจากยังมีการปะทุอยู่ และอาจจะเกิดอันตรายได้ ก็น่าจะเป็นผลพวงของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ่นเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2559 ด้วย ทางการจึงปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชะโงกหน้าชมภูเขาไฟใกล้ๆ เราจึงได้แต่เห็นควัน (ไอ ไอน้ำ) พวยพุ่งออกมาจากปล่องอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ก็เก็บภาพเป็นที่ระลึกก่อนจะขับรถเพื่อเดินทางมายังที่พักในเมือง ทาคาชิโฮ กว่าจะขับรถลัดเลาะ รวมทั้งอ้อมเขาเนื่องจากเส้นทางบางเส้นถูกตัดขาดเนื่องจากผลพวงของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ทำให้คณะของเราเดินทางมาถึงเมืองทาคาชิโฮเป็นเวลาประมาณ 18:30 น.

วันที่ 4 วันศุกร์ 7 ตค. 59

ศาลเจ้าคาทาชิโอ








เมื่อคืนที่ผ่านมา เรานอนที่เมือง ทาคาชิโฮ ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของจังหวัดมิยาซากิ เมืองเล็กๆ นี้มีประชากรไม่ถึงสองหมื่นคน เวลาค่ำลงเพียง 20 นาฬิกา ถนนหนทางในเมืองก็เงียบสนิท (วังเวงมาก ขอบอก) เราเดินออกมาหาอาหารเย็นรับประทานแต่เรียกว่าหาได้ยากเลยทีเดียว เนื่องจากร้านต่างๆ ทยอยปิดกันไปมากแล้ว แต่เมืองเล็กๆ นี้ก็มีแหล่งท่องเที่ยวไม่น้อยเหมือนกัน เช้าขึ้นมาเราแวะคาราวะศาลเจ้า คาทาชิโฮ กันก่อนเลย ในบริเวณศาลเจ้านี้มีต้นไม้ใหญ่อยู่เป็นจำนวนมาก หลายต้นมากที่ใหญ่ขนาด 5-6 คนโอบเลยทีเดียว เห็นแล้วอดอิจฉาไม่ได้ที่บ้านเราน่าจะมีต้นไม้ใหญ่มากๆ แบบนี้บ้าง

ไปทาคาชิโฮกอร์จ

 
 
 


 


จากนั้นเดินทางแวะเดินเล่นที่สวน ทาคาชิโฮกอร์จ (Takachiho Gorge) เพิ่อเดินดูสายธาร น้ำตก และวิวของถนนสวยๆ ซึ่งที่จริงแล้วเราวางแผนจะพายเรือเล่นในลำธาร แต่ด้วยความที่น้ำในลำธารมีปริมาณมากจนท่วมท่าน้ำ (นึกถึง กทม. ในช่วงเวลานี้เลยที่ฝนตกหน่อยเดียวก็น้ำท่วมถนน) ทำให้ไม่สามารถเอาเรือที่ถูกเก็บไว้บนบก "ขึ้นน้ำ" ได้ (ต้องเรียกว่า ขึ้นน้ำไม่ใช่ลงน้ำเพราะระดับน้ำดูจะสูงกว่า) หลังเดินเล่น ถ่ายรูป เราเดินทางไกลขับรถราวๆ 122 กิโลเมตรหันทิศทางไปยังเมือง ฟูกุโอกะ เพื่อเดินทางมาที่เมือง คูตัตสึ ระหว่างทางเรามองเห็นเมือง คุมาโมโตะ ที่บ้านเรือนหลายหลังได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะที่เห็นได้ชัดคือบริเวณหลังคา มีการนำผ้าพลาสติกสีฟ้ามาคลุมหลังคาหรือบางส่วนของหลังคาเอาไว้  หลังจากขับรถนานราวสองชั่วโมง (เพราะแวะพักบ้าง แวะเติมน้ำมันบ้าง กินกาแฟบ้าง ขนมบ้าง) เราก็เดินทางถึงที่พักที่เมือง มุนาคาตะ จังหวัดฟุคุโอกะ เพื่อเข้าที่พักซึ่งเป็นบ้านสองชั้นที่เราได้จองเอาไวัล่วงหน้า โดยเราเหมาเอาชั้นล่างของบ้านทั้งหมดเอาไว้ (ชั้นบน ก็ไม่ได้มีใครอยู่ เพราะเจ้าของก็ไปพักที่บ้านอีกหลังหนึ่งถัดออกไปเพียงสองสามหลังเท่านั้นเอง) ก็นับว่าเป็นบ้านขนาดกลาง-ใหญ่พอที่จะพักได้ 6 คนแบบสบายๆ บ้านนี้มีข้อดีที่มีที่จอดรถให้เรา ดังนั้นจึงสบายเรื่องที่จอดรถไปเรื่องหนึ่ง หลังจากยกกระเป๋าเข้าบ้านแล้ว เจ้าของบ้านก็ตามมาอธิบายการใช้งานของต่างๆ ในบ้านอย่างละเอียด เท่านั้นยังไม่พอ ยังพาพวกเราเดินไปยังซูเปอร์มาเก็ตในบริเวณบ้าน (ห่างออกไปราว 200 เมตร) แถมพาเราจับจ่ายซื้ออาหารเย็นสำหรับวันนี้อีกด้วย

วันที่ 5 วันเสาร์ 8 ตค. 59

ช็อค! ภูเขาไฟอาโสะปะทุ ตื่นมาก็เจอข่าวนี้เลย แต่เป็นข่าวที่มาจากเมืองไทย เพราะเพื่อนของเพื่อนถามมาว่ายังสบายดีอยู่ไหมเนื่องจากได้ข่าวว่ามีภูเขาไฟระเบิดที่ญี่ปุ่น ที่สำคัญคือเป็นยอดปล่องนาคะดาเคะจากทั้งหมด 5 ปล่อง และเป็นปล่องเดียวกับที่เราไปดูเสียด้วย ซึ่งถ้าจะว่าไปเราก็เห็นว่ามันกรุ่นๆ อยู่ตอนที่เราไป ถึงตอนนี้ก็คงปะทุขึ้นมาเรียบร้อย นักท่องเที่ยวถูกกันเอาไว้ให้อยู่ห่างน้อยหลายกิโลเมตรเลยทีเดียว

ศาลเจ้ามิยาจิดาเกะ

 
 
 
 
 
 
 


หลังจากอาบน้ำกินข้าวเรียบร้อยแล้ว เราออกเดินทางไปยัง ศาลเจ้ามิยาจิดาเกะ ที่ถูกต้องแล้วต้องบอกว่าเป็นศาลเจ้า มิยาจิดาเกะ ประจำ จ.ฟุกุโอกะ ถึงจะถูกต้อง เพราะชื่อศาลเจ้า มิยาจิดาเกะนั้นมีหลายที่กระจายทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น (ชื่อซ้ำกัน ก็ว่าได้) แต่ศาลเจ้ามิยาจิดาเกะ ประจำ จ.ฟุกุโอกะเป็นศาลเจ้าที่มีประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาศาลเจ้ามิยาจิดาเกะทั้งหมด มีผู้คนแวะเวียนกันมากราบไหว้ปีละกว่า 2 ล้านคนเพื่อขอพรให้กิจการรุ่งเรืองและมีโชคลาภ นอกจากนี้ศาลเจ้ามิยาจิดาเกะ ประจำ จ.ฟุกุโอกะยังมี เชือกชิเมนาวะที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5 เมตร ยาว 13.5 เมตร และหนัก 5 ตัน (ดูภาพ) เชือกชิเมนาวะทำมาจากวัสดุที่เป็นเส้นใยจากธรรมชาติที่เหลือจากการเก็บเกี่ยว เช่น ข้าว เป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ และความบริสุทธิ์ตามความเชื่อแบบชินโตโดยมักมีแขวนไว้หน้าศาลเจ้าหรือสถานที่สำหรับประกอบพิธีเกี่ยวกับเทพเจ้า

ศาลเจ้าคูชิดะ

 
 
 
 
 


เราออกจากศาลเจ้า มิยาจิดาเกะ เพื่อเดินทางต่อ เข้าเมืองมาที่เมืองฮากาตะ มาแวะ "ศาลเจ้าคูชิดะ" เป็นศาลเจ้าในนิกายชินโตเช่นเดียวกัน วิหารภายในศาลเจ้าหลังแรกมีอายุมากกว่า 1,200 ปี ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ ค.ศ.757 โดยจักรพรรดิโคเคน (Koken) เพื่อให้เป็นศาลเจ้าของเทพโอคุชิดะ ซามะ ในศาสนาชินโต เชื่อกันว่าผู้มาเยือนสามาถขอพรให้มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว และประสบความสำเร็จในธุรกิจได้

หลังจากคารวะสิ่งศักดิ์สิทธิเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่สาวๆ ในหมู่คณะรอคอยคือการ "ช้อปปิ้ง" เนื่องจากแต่ละคนก็มีรายการที่หมายมั่นปั้นว่าจะซื้อกลับเมืองไทย รวมทั้งตัวผมเองก็มีรายการที่ต้องซื้อของฝากคุณแม่ด้วยเช่นกัน ทีแรกตั้งใจจะเดินด้วยระยะทางประมาณ 1.9 กม. ไปสถานีรถไฟฮาคาตะ (Hakata station) ซึ่งเป็นแหล่งรวมห้างขนาดใหญ่รวมทั้ง ฮันคิว (Hankyu) ในนั้นมีร้านเป้าหมายอยู่ แต่ฝนเจ้ากรรม (แต่ดูแล้วผมว่าเป็นฝนนายเวรด้วย เพราะตรงเวลาเหลือเกินกับที่ทางพยากรณ์อากาศของญี่ปุ่นบอกว่าช่วงบ่ายของวันนี้จะมีโอกาสฝนตก 100% ของพื้นที่ ซึ่งก็แปลว่า "เปียกแน่ๆ" นั่นเอง) ดันตกลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา แผนการเดินเลยต้องเปลี่ยนไปเป็นการโดดขึ้นแท็กซี่ ที่พาเราลัดเลาะมาจนถึงที่หมาย จ่ายค่าโดยสารไป 1,070 เยน ก็เป็นอันว่าเปียกฝนน้อยหน่อยแล้ว  หลังจากช้อปปิ้งเราขึ้นไปชั้นที่ 9 เพื่อหาอาหารเย็นรับประทาน ไม่ใช่เพราะว่าอยากหรูกินสูงอะไรหรอกครับ แต่เขารวมเอาร้านอาหารไปไว้บนนั้นด้วยกัน เราก็เลยต้องตามขึ้นไปกินแบบหมดทางเลือก โชคดีตรงที่ว่ารสชาติใช้ได้เลยทีเดียวกับราคา 1,000 เยนต่อคน

เย็นวันนี้เราขับรถกลับบ้านแบบเรื่อยๆ ออกนอกเมืองด้วยความหมดแรง ก่อนเข้าบ้านพักก็แวะซื้อของนิดหน่อยที่ร้านซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้ที่พัก บางอย่างก็เตรียมไว้กินก่อนออกเดินทางไปสนามบินวันรุ่งขึ้น บางอย่างก็เป็นของฝาก ก่อนขับรถลุยฝนกลับที่พัก
เดินทางกลับ

วันที่ 6 วันอาทิตย์ 9 ตค. 59

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะอยู่ในประเทศญี่ปุ่นในการเดินทางในครั้งนี้ เครื่องบินของเราออกจากสนามบินฟูกุโอกะ เวลาประมาณ 11:30 น. นั่นหมายความว่าเราต้องไปถึงสนามบินอย่างน้อยเวลาประมาณ 09:00 น. คำนวณเสร็จสรรพเรียบร้อยเราต้องออกจากบ้านที่พักในเวลาประมาณ 06:45 น. เนื่องจากเราจำเป็นที่จะต้องนำรถไปเติมน้ำมันก่อนที่จะคืนให้กับบริษัทเช่ารถ  พวกเราจึงนัดเจ้าของบ้านที่เป็นสุภาพสตรีวัยกลางคนเข้ามาดูความเรียบร้อยของบ้านก่อนที่เราจะกล่าวคำอำลาจากกัน เจ้าของบ้านท่านนี้ก็เข้ามาดูความเรียบร้อยและยืนรอส่งเราจนขับรถลับตาไป เรียกว่าน่านับถือตามแบบฉบับชาวญี่ปุ่นจริงๆ

การนำรถไปคืนก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรเพียงแต่มีเรื่องตื่นเต้นเล็กน้อย เนื่องจากเราโดยสารกันมาหลายคนในรถคันเดียวกันและเวลาที่เราขับรถไปถึงบริเวณสนามบินจริงๆ นั้น ที่ทำการของบริษัทเช่ารถยังไม่เปิด (เปิด 08:00 น.) เราจึงตัดสินใจขับรถไปส่งเพื่อนร่วมคณะบางคนที่สนามบินเสียก่อน จากนั้นค่อยขับรถลงออกนอกสนามบินเพื่อเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อนที่จะนำรถไปส่งคืนบริษัทรถเช่า ซึ่งแน่นอนก็มีการตรวจเรียบร้อยว่ามีร่องรอยขูดขีดเพิ่มเติมหรือเปล่า หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยเราก็โดยสารขึ้นรถตู้ของบริษัทรถเช่านำเรามาส่งที่สนามบินอีกทีหนึ่ง

การเดินทางกลับโดยสายการบินไทย (เที่ยวบิน TG649 เป็นเครื่อง Airbus A330 / "แพร่") นับว่าราบรื่นไม่ติดขัดอะไร ยกเว้นแต่สภาพอากาศเมื่อเราบินเข้าบริเวณประเทศไทยเป็นช่วงเวลาที่ฝนกำลังตกและลมค่อนข้างแรง แต่กัปตันก็สามารถนำเครื่องลงที่สนามบินสุวรณภูมิได้อย่างนุ่มนวล



การเดินทางในครั้งนี้นับว่าประสบความสำเร็จพอสมควรถึงแม้ว่าจะมีจุดหมายบางแห่งที่เราไม่สามารถเดินทางไปถึงได้ เนื่องจากไม่มีเวลาพอ เช่น เมืองนางาซากิ แต่ก็นับว่าได้เที่ยวชมญี่ปุ่นอีกบรรยากาศหนึ่งก็คือนอกเมืองแทนที่จะเป็นชั้นในใจกลางของเมืองหรือในเมืองหลวงอย่างเดียว

สิ่งสังเกตได้ของญี่ปุ่น

จะว่าไป นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น (น่าจะเป็นครั้งที่สามแล้ว) แต่แน่นอนว่าเป็นครั้งแรกที่ไปยังเมือง ฟูกุโอกะ และเมืองต่างๆ บนเกาะคิวชู สิ่งที่สังเกตได้ก็ยังคงมีทั้งสิ่งที่เหมือนเดิมคือเป็นนิสัยทั่วไปของคนญี่ปุ่น และสิ่งที่แปลกตาออกไปเพราะเป็นเมืองที่ไกลจากเมืองหลวง โดยสรุปคือ
  1. ภาษา ยังคงเป็นปัญหาสำหรับผู้คนนอกเมืองที่ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้มากนัก
  2. ผู้สูงอายุมักอาศัยอยู่นอกเมือง เป็นสังคมผู้สูงอายุ โดยคนหนุ่มสาวอยู่ในเมือง
  3. นอกเมืองนิยมใช้รถคันเล็กๆ รถกระบะก็คันเล็กๆ เมื่อเข้ามาในเมืองจะเห็นรถคันใหญ่ขึ้น
  4. ชีวิตนอกเมือง slow life ดูมีความสุขมาก ทำนา ปลูกสวน ค้าขายไปเรื่อยๆ
  5. คนญี่ปุ่นยังคงความมีระเบียบวินัยไว้ได้อย่างดี เห็นได้ชัดเจนจาการขับรถ การเข้าคิวรอต่างๆ
  6. คนญี่ปุ่นซื่อสัตย์ ไม่เป็นคนเห็นแก่ได้ ไม่ขี้ขโมย สังเกตได้ง่ายว่าหลายครั้งที่เราลืมของวางเอาไว้ ถ้าไม่ถูกส่งไปเก็บในที่ปลอดภัย มันก็จะอยู่ตรงที่เดิมนั้นเอง เพราะเขาอาจจะคิดว่า อย่าไปแตะต้อง ถ้าเจ้าของเขามาตามหาจะได้พบ
  7. คนญี่ปุ่นรักสะอาด ทุกอย่างดูสวยงามสะอาดสะอ้านไปหมด
  8. คนญี่ปุ่นใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แทบทั้งหมด (เช่นถ้าซื้อของ ถ้าฝนตก เขาจะห่อถุงพลาสติกหุ้มถุงกระดาษให้ด้วย ถ้าเข้าห้างในหน้าฝน หน้าห้างจะมีถุงพลาสติกเล็กๆ ยาวๆ สำหรับใส่ร่มให้ทุกคนเอาร่มของตัวเองใส่ก่อนเข้าห้าง ในร้านอาหารจะมีตะกร้าสำหรับให้เอาสัมภาระใส่ไว้ขณะรับประทานอาหาร เป็นต้น)
  9. ธรรมเนียมญี่ปุ่นคือไม่รับทิป ดังนั้นเราไม่ต้องทิปเขานะครับ
  10. การจ่ายเงินต่างๆ หลายร้านจะมีตะกร้าเล็กๆ ให้เอาเงินใส่ตะกร้านั้น เวลาทอนเขาก็จะเอาเงินใส่ตะกร้ายื่นให้เรา
  11. เราได้เห็นความเอาใจใส่ การดูแล พยายามช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอย่างเต็มความสามารถ เป็นเรื่องน่าชื่นชม หากเราพบนักท่องเที่ยวประเทศอื่นเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย ก็ควรดูแลเขาด้วยเช่นกัน
นับว่าเป็นข้อดีหลายข้อที่เราน่าจะนำมาเป็นตัวอย่างและพัฒนาคนให้มีนิสัยและความคิดที่ดีเพื่อช่วยกันพัฒนาประเทศชาติของเราต่อไป
และไว้โอกาสหน้าถ้าผมได้เดินทางไปในประเทศอื่นอีกก็นำเรื่องราวต่างๆมาเล่าให้ฟังกันอีก สำหรับวันนี้ต้องพอแค่นี้ก่อน ขอบคุณมากครับ