ในช่วงที่ดูเหมือนว่าจะเป็นขาขึ้นระยะสั้นของหุ้นที่ดัชนีไต่ขึ้นมาจากระดับ 1600 จุดกลางๆ ขึ้นมาทีเดียวถึง 1700 จุด ก็มีหุ้นตัวใหญ่หลายตัวที่ปรับราคาขึ้นมาทำให้นักลงทุน (ขอเรียกรวมๆ ว่านักลงทุนก็แล้วกันนะครับ ทั้งที่จริงแล้ว มีทั้งนักลงทุน นักเก็งกำไร พ่อค้าหุ้น นักเสี่ยงโชค และนักพนัน ปนๆ กันอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งนี้) จำนวนไม่น้อยที่ได้กำไรแต่ก็มีหุ้นตัวเล็กๆ จำนวนไม่น้อย หรือแม้กระทั่งหุ้นตัวใหญ่เองที่เป็นตัวทำดัชนีขึ้นมา ที่มีราคาขึ้นลงหลายรอบในช่วงระยะเวลาเดียวกันนี้ ทำให้มีนักลงทุนหลายคนขาดทุนในหุ้นเหล่านั้น
เล่นเอาหลายๆ คนเครียด บ่นให้กันฟังแทบทุกวัน ผมก็ได้แต่เตือนว่า ถ้าเครียด จะเสียสุขภาพนะ ไม่คุ้มเลย และที่สำคัญ เครียดไปก็เท่านั้น เราทำอะไรกับราคาหุ้นไม่ได้ ดังนั้น อย่าเครียด ไม่เกิดประโยชน์ (พูดง่ายเนอะ)
เรื่องของกลยุทธ์
การซื้อหุ้น ต้องวางกลยุทธ์ให้เรียบร้อย ก่อนซื้อ ว่าถ้าราคาขึ้นเราจะทำอย่างไร ถ้าราคาลงจะทำอย่างไร ลงแค่ไหนจะขายตัดขาดทุน (ด้งนั้นตัองเก็งขาดทุนด้วย ไม่ใช่เก็งกำไรอย่างเดียว) ไม่ใช่ว่าซื้อมาแล้วมานั่งคิดทีหลัง ไม่ทันการครับ ดังนั้นก่อนซื้อหุ้นคิดเลยว่าเราจะขาดทุนได้กี่บาท เงินจำนวนที่จะขาดทุนนั้นทำให้เครียดไหม ถ้าไม่เครียดก็ตั้งขาดทุนไว้เท่านั้นแล้วก็อย่าไปเครียดถ้ามันลงก็ขายทิ้งไปจบเรื่องว่ากันใหม่ แต่ถ้าขาดทุนแล้วเครียดก็อย่าซื้อตั้งแต่แรก ไม่มีใครบังคับสักหน่อย
ทำไมทุกข์
ที่สำคัญ ผมอยากบอก (ที่จริงคือ ถาม) ว่า ทราบไหมว่าทำไมเราเป็นทุกข์? ลองคิดเล่นๆ ครับ
สมมุติว่าเราเก่งกำไรระยะสั้นแค่ไม่กี่วันราได้กำไร แล้วมีคนขาดทุนไหมล่ะ แน่นอนมีคนขาดทุน ก็เพราะการเก็งกำไรระยะสั้น เป็น Zero Sum Game เหมือนบ่อน เอาเงินคนนี้ไปให้คนนั้น บางคนอาจจะเถียงว่าสำหรับหุ้นสามัญแล้วไม่จริงหรอกต้องเป็นตลาดล่วงหน้าสิ (TFEX) ถึงจะเป็นการพนัน อันนี้ก็แล้วแต่คนคิดนะครับ
มานั่งนึกดูว่า เราทุกข์ เพราะเราอยากได้เงินคนอื่นใช่ไหมล่ะ คนอื่นไม่ว่าจะรู้ตัวหรือเปล่า ก็มีคนที่อยากได้เงินเราเหมือนกัน พอมีคนคิดอย่างนี้กับเรามากๆเข้า เราก็ทุกข์ยังไงล่ะ เมื่อความปรารถนาร้ายส่งถึงกันใจถึงใจเราจึงเป็นทุกข์
ซื้อวันนี้ พรุ่งนี้อยากให้ขึ้น
ไม่ขึ้นก็ทุกข์
ลงยิ่งทุกข์
สมมติขึ้นไปจริงๆ เราขาย ทำกำไร
ไม่พอใจ!! ทำอย่างไรต่อ
รุ่งขึ้นนั่งแช่งให้ลง (อ้าว ก็แช่งไอ้คนที่เราขายไป ให้มันขาดทุนน่ะสิ)
เป็นบาปทั้งนั้น เห็นไหม ทางที่ถูกคือเราต้องมองราคาหุ้นเหมือนกับระดับน้ำในทะเล (ถ้าจะให้ทันสมัย เดี๋ยวนี้อาจจะต้องเปรียบกับระดับน้ำฝน หรือน้ำใน กทม. ว่าเมื่อไรจะขึ้นหรือลง ท่วมขังมากหรือน้อยแค่ไหน) ว่าง่ายๆ คือ เราทำให้มันขึ้นหรือลงไม่ได้ เราคาดหวังก็ไม่ได้ เราทำได้แต่เพียงคิดว่า ถ้ามันขึ้นจะทำอย่างไร ถ้าลงจะทำอย่างไรเท่านั้นเ
แล้วทำอย่างไร
ผมอยู่กับหุ้นมา 20 ปี พบว่าการลงทุน แบบเรียบง่าย สามัญๆ นี่แหละครับ สบายใจและยั่งยืนสุด (หลายแนวนะคร้บ ส่วนมากคือ แนวพื้นฐาน และเน้นมูลค่าของกิจการหรือวีไอ)
ถ้าจะถามว่าเก็งกำไรได้ไหม ได้สิครับ มีบ้าง ทำได้ แต่ ใจหนึ่งก็ต้องรู้นะ ว่าเราเอาเงินคนอื่นเขา ได้เงินพวกนั้นมา แบ่งไปทำบุญบ้างครับ แล้วอธิษฐานให้บุญกุศลไปถึงผู้ที่เราได้กำไรจากเขามาด้วย ผมจะทำแบบนั้นเป็นประจำ โดยส่วนตัวผมจึงทำบุญบ่อย ให้บ้านเด็กกำพร้าบ้าง พิการบ้าง ตั้งกองทุน รพ. บ้าง ก็แบ่งเงินพวกนี้มาแหละครับ
สรุป
เครียดเพราะคาด
เครียดเพราะหวัง
คาดว่าดัชนีจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
คาดว่าหุ้นนั้นจะมีราคานั้นราคานี้
ร้ายที่สุดคือเพราะอยากได้เงินคนอื่น บางทีเราไม่รู้ตัว หรือหลอกตัวเองว่าไม่ใช่ ไม่จริง แต่ก็เหมือนคนเล่นหวยล่ะครับ ถูกกฏหมายไหม ใช่แล้วถูกกฏหมาย (ใครเขียนกฏหมายนี้ ใครได้ประโยชน์จากมันล่ะ) ในขณะที่ศาสนาต่างๆ ก็สอนอยู่ว่าเป็นสิ่งไม่ดี ดังนั้นของที่มีคนทำอยู่ เป็นอยู่ มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันถูกต้องตามศีลธรรม และธรรมะทั้งหมดหรอก พอไม่ถูกตามธรรมะก็เกิดทุกข์ เข้าใจง่ายจะตายไปครับ