วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เคล็ดเศรษฐี


เชื่อว่าเกือบทุกคนที่เข้ามาเป็นนักลงทุน หรือพ่อค้าหุ้น (ต้องขออภัยจริงๆ เพราะมีส่วนหนึ่งที่เป็นแบบนั้นจริงๆ) ล้วนต้องการทำกำไร มีรายได้มากกว่าที่เป็นอยู่ หลายๆ คนหวังเอาการลงทุนเป็นอาชีพหลักกันเลยทีเดียว ซึ่งทำได้นะครับไม่ใช่ไม่ได้ แต่ก็เหมือนหรือคล้ายกับอาชีพอื่นที่มี “ต้นทุน” ของมันทั้งสิ้น โดยต้นทุนของอาชีพอื่นอาจจะเป็นความรู้เฉพาะ การรู้จักผู้คนหรือลูกค้าที่จะเป็นผู้จ่ายเงินให้กับธุรกิจนั้น รวมทั้งเงินทุนจำนวนหนึ่งด้วย (อาจจะไม่มากนักในกรณีของธุรกิจโดยทั่วไป) ในกรณีของนักลงทุนก็เช่นกันก็ต้องมีความรู้และต้องผสมด้วยความชำนาญรวมถึงทักษะในการลงทุน (ถ้ามากเข้าอาจจะเรียกได้ว่าเป็นสัญชาติญาณเลยก็ได้) นอกจากนั้นยังต้องมีเงินทุนจำนวนหนึ่งซึ่งตรงจุด “เงินทุนจำนวนหนึ่ง” นี้เองอาจจะเป็นตัวเลขที่มากกว่าการทำธุรกิจหลายๆ อย่าง (ถ้าเงินน้อยไป และหวังรายได้จากตลาดหลักทรัพย์เพียงแหล่งเดียว สุดท้ายจะถูกบีบให้เป็นนักเก็งกำไรไปในที่สุด) และวิธีที่ถูกต้องก็ควรจะเป็นเงินทุนที่ได้สะสมมาจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เพราะนั่นเป็นสิ่งพิสูจน์ว่าผู้ลงทุนนั้นมีความชำนาญอย่างแท้จริงและทำกำไรได้จริง เนื่องจากการนำเงินทุนข้างนอกจำนวนมากมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์โดยผู้ไม่มีความชำนาญถือว่าเป็นความเสี่ยงค่อนข้างสูง

เล่าเรื่องมายาวจนยังไม่เข้าเรื่องของเคล็ดลับความรวยเสียที ซึ่งที่จริงแล้วผมเชื่อว่าเคล็ดนี้ที่เป็นแนวทางที่ถูกต้องก็ไม่ได้เป็นความลับอะไร ยกเว้นแต่ถ้าเป็นวิธีแปลกๆ ในการได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทองอย่างไม่สุจริต แบบนั้นถึงเรียกว่า “ลับ” ได้ เพราะเมื่อเปิดเผยมาเมื่อไรคงเป็นอันได้เดือดร้อนเป็นแน่
เคล็ด(ไม่)ลับของความรวย
จะว่าไปแล้วไม่ยากเลยนะครับ คนรวยหลายคนไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้เป็นความลับอะไรเพราะเป็นเรื่องที่ทำเป็นนิสัยอยู่แล้ว คือ
  1. หาให้มาก
  2. มีรายได้หลายทาง
  3. หาได้ แบ่งเก็บก่อน
  4. แล้วค่อยแบ่งใช้ที่เหลือ
  5. เก็บพอแล้วเอาไปทำให้งอกเงย ให้เงินทำงานแทนเรา
  6. ทำสุขภาพให้สมบูรณ์
  7. จำกัดหนทางเงินไหลออก การจะช่วยเหลือคนอื่นต้องช่วยด้วยวิธีที่ถูกต้อง การช่วยด้วยเงินอาจจะยิ่งเป็นการทำร้ายเขาก็ได้ และพึงระลึกว่า การจ่ายเงินเพื่อให้ได้สิ่งของหลายอย่างอาจจะไม่ได้ทำให้เรามีความสุขก็ได้ อาจจะทำให้เราร้อนใจก็ได้
ประเด็นสำคัญ

หลายๆ คนเป็น “คนมีเงิน” แต่หากเป็นการมีเงินด้วยการเก็บออมเพียงอย่างเดียวโดยขาดมิติของการมีรายได้หลายทาง และให้เงินทำงานแทนเรา แบบนั้นคงจะมีชีวิตที่อึดอัดมาก เพราะเงินที่หามาได้ล้วนมาจากการทำงานของตัวเองทั้งสิ้น จึงไม่กล้าใช้ (หาได้เท่าไรเก็บหมด) คนรวยจึงเปลี่ยนเงินให้งอกเงยและให้มันทำงานแทนพวกเขา ตามสูตรที่บอกว่า....

"คนรวย เปลี่ยนเงิน (เงิน ที่ด้อยค่าได้) เป็นสินทรัพย์ ที่เพิ่มค่าได้ และสร้างกระแสเงินสดให้ไหลเข้ามาได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด"

เปลี่ยนเงินกระดาษเป็นอย่างอื่น

พราะการเก็บเงินที่เป็นกระดาษนั้นไม่ค่อยมีค่ามากเท่ากับที่พิมพ์เอาไว้บนตัวมัน สู้เราเปลี่ยนเป็น อสังหาริมทรัพย์ (ที่สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ เช่น ให้เช่าที่ดินได้ ให้เช่าบ้านได้ พัฒนาที่ดินให้เป็นพื้นที่ค้าขายให้เช่าได้ เป็นต้น) หรือเปลี่ยนเป็นธุรกิจก็ได้ อาจจะทำเอง หรือซื้อบางส่วนของกิจการผ่านตลาดหลักทรัพย์โดยเปลี่ยนเงินเป็น "หุ้น"  ก็เป็นแนวทางหนึ่งในการเปลี่ยนเงินกระดาษเป็นทรัพย์สินที่บริษัทถือเอาไว้ นั่นคือกลายเป็นที่ดิน โรงงาน ตราสินค้า ผลิตภัณฑ์และระบบการทำงานที่สามารถสร้างรายได้และกำไรได้ ดังนั้น "หุ้น" เองมีทั้งทรัพย์สินที่เสื่อมและไม่เสื่อมค่าอยู่ด้วยกัน สำหรับบริษัทที่มีการดำเนินงานที่ดี มีผลกำไร ก็จะเพิ่มค่าของตัวมันเองได้และกลายเป็นทรัพย์สินที่ไม่เสื่อมซ้ำยังสามารถเพิ่มค่าได้ด้วยนั่นเอง

จะเห็นว่า ไม่ได้มีความลับอะไรเลย ถ้าเรามีนิสัยแบบนั้นและทำได้แบบนั้นไปเรื่อยๆ เดี๋ยวรวยเองครับ เรียกว่า รวยอัตโนมัติ หรือ รวยไม่รู้เรื่องนั่นเอง
แต่ขอแถมท้ายไว้สักนิดว่า

“รวยเร็วก็ไม่ง่าย รวยง่ายก็ไม่เร็ว รวย (แบบไม่จริง) ทั้งง่ายและเร็วก็ไม่ยั่งยืน” นะครับ