วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

ซื้อหุ้นตามราคาหรือเวลา

เวลาเราซื้ออะไรมาเพื่อขายไปสักอย่างหนึ่ง เราอาจจะให้ความสำคัญกับราคาขายเป็นหลักในของหลายๆ อย่าง พูดง่ายๆ คือซื้อมาเท่าไรไม่สำคัญเท่ากับว่าจะเอาไปขายที่ราคาเท่าไร การทำอย่างนั้นไม่ผิดและมีความเป็นไปได้สูงถ้าเราสามารถดัดแปลง แก้ไข เปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับของที่เราซื้อมาเพื่อที่จะขายในราคาสูงขึ้นได้ แต่กับหุ้นนั้นเราคงไปดัดแปลงหรือสร้างมูลค่าเพิ่มให้มันไม่ได้เพราะโดยทั่วไปเราก็ไม่ใช่ผู้บริหารหรือคนที่จะวางนโยบายของบริษัท (และไม่ใช่คนที่จะสร้างข่าวให้กับหุ้นนั้นเพื่อให้เกิดความนิยมและมีราคาสูงขึ้นจากอุปสงค์และอุปทาน) ดังนั้นในการซื้อหุ้นเพื่อให้ได้กำไรเรามักจะต้องพยายามซื้อเพื่อให้ได้ต้นทุนที่ต่ำเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริงของมัน และจะได้กำไรมากเมื่อซื้อโดยได้ต้นทุนที่ต่ำเท่าที่เราจะทำได้

การประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นนั้นว่ายากแล้ว แต่ความยากของการซื้อหุ้นให้ต้นทุนต่ำเท่าที่จะทำได้นี่แหละอาจจะยากกว่าก็ได้เพราะราคาหุ้นขึ้นกับของหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะสั้นนั้นขึ้นกับอุปสงค์ อุปทาน และสภาพตลาดโดยทั่วไปเป็นหลักเลย 

ในตลาดหลักทรัพย์มีหุ้นมากมาย การขึ้นลงของราคาหุ้นต่างๆ จะถูกนำไปคำนวณดัชนีของตลาดแบบถ่วงน้ำหนักกับขนาดตลาด (Market Capital) ของบริษัทต่างๆ นั้น จะเห็นว่าที่จริงแล้ว ดัชนีของตลาดเป็น "ผล" จากการขึ้นหรือลงของราคาหุ้นต่างๆ แต่ในขณะเดียวกัน ดัชนีตลาดฯ นี้เองก็มีผลทางจิตวิทยาต่อราคาหุ้นทั้งหลายด้วย โดยเฉพาะเมื่อดัชนีปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นเวลานาน (อาจจะไม่ลงทุกวันติดกัน แต่โดยแนวโน้มแล้วปรับตัวลง) ถ้าเป็นเช่นนี้ ราคาหุ้นโดยส่วนมากจะยากที่จะปรับตัวขึ้นสวนไปได้ (แต่ถ้ามี ก็น่าสนใจไปดูสักหน่อยนะครับ อาจจะพบของดีก็ได้) ถ้าหุ้นของบริษัทที่เราสนใจมักมีราคาปรับขึ้นลงไปตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์แล้วล่ะก็สิ่งที่ควรทำคือใจเย็นๆ และรอจนกระทั่งดัชนีปรับตัวลงจนสุดแล้วเริ่มปรับตัวขึ้นจึงค่อยเข้าไปเริ่มซื้อหุ้นก็ยังไม่สาย 

การซื้อตามราคา

แน่ล่ะ เมื่อเราจะซื้อของมันก็ต้องคุ้มค่า หรือราคาต่ำกว่าค่าของมัน ในกรณีของหุ้นก็คือเมื่อเราคำนวณราคาที่เหมาะสมของหุ้นไว้เรียบร้อยแล้วและเห็นว่าหุ้นของบริษัทนั้นราคาต่ำกว่าราคาเหมาะสมมากๆ (เช่น 30-50% ซึ่งส่วนต่างนี้เราเรียกว่า ส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย หรือ Margin Of Safety) เราอาจคิดอยากจะลองเข้าไปซื้อได้ (จริงๆ แล้วยังมีเรื่องอื่นที่ต้องดูประกอบด้วยนะครับ เช่น  ลักษณะธุรกิจ ผู้บริหาร ธรรมาภิบาล เป็นต้น) แต่การเริ่มซื้อเราอาจจะต้องดูแนวโน้มของราคาสักนิดก็ไม่เสียหายอะไร ถ้าราคายังอยู่แนวโน้มขาลงจะด้วยเพราะสภาพตลาดหรือความไม่นิยมในหุ้นนั้นชั่วคราว ก็คงต้องทำใจเย็นๆ รอจนราคานิ่งก่อนค่อยเข้าไปซื้อ และก็คงไม่ได้ซื้อทีเดียวให้ได้ตามจำนวนที่วางแผนไว้  สรุปง่ายๆ คือซื้อเมื่อ

  • ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และ
  • ราคาไม่อยู่ในแนวโน้มขาลง

การซื้อตามเวลา 

ที่จริงแล้วแนวคิดนี้มาจาก DCA หรือ Dollar Cost Average คือแบ่งซื้อหุ้นออกเป็นหลายครั้งด้วยเงินจำนวนเท่าๆ กัน เมื่อหุ้นมีราคาต่ำลงก็จะได้หุ้นจำนวนมากขึ้น และเมื่อหุ้นราคาสูงขึ้นก็จะได้หุ้นจำนวนน้อยลง (แต่ก็ดีที่หุ้นราคาสูงขึ้นจากที่เคยซื้อ) จากข้อที่แล้วแม้ว่าเราจะเห็นว่าราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง และราคาเริ่มนิ่งให้เข้าไปซื้อได้ เราก็คงไม่ซื้อหุ้นนั้นทั้งหมดตามงบประมาณที่วางไว้ในคราวเดียว แต่ต้องวางแผนเกณฑ์ส่วนตัวขึ้นว่าเราจะซื้อกี่ครั้ง แต่ละครั้งห่างกันเท่าไร โดยทั่วไปแล้วอาจจะแบ่งออกเป็น 5-10 ครั้ง โดยดูวงรอบการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ถ้าราคาหุ้นเคลื่อนไหวเป็นวงรอบ (คือ ขึ้นและลง) ช้าก็ต้องปรับความห่างการซื้อแต่ละครั้งให้นานขึ้น  แต่ถ้าราคาหุ้นเคลื่อนไหวเป็นวงรอบ (คือ ขึ้นและลง) เร็วก็ต้องปรับความห่างการซื้อแต่ละครั้งให้ถี่เข้ามา แต่ถ้าราคาเปลี่ยนเป็นทิศทางขาลง ให้หยุดซื้อก่อน  สรุปง่ายๆ คือ

  • ถ้าหุ้นเคลื่อนไหววงรอบเร็ว ซื้อถี่ขึ้น
  • ถ้าหุ้นเคลื่อนไหววงรอบช้า ซื้อห่างออกไป
  • หยุดซื้อถ้าหุ้นมีแนวโน้มเป็นขาลง 

ทั้งหมดนี้คือข้อแนะนำในระบบการซื้อ สำหรับผู้ที่เป็นนักลงทุนระยะกลาง (1-2 ปี) ขึ้นไปนะครับ ถ้านักซิ่งทั้งหลายมาทำตามอาจจะอึดอัดจนสลบก่อน หรือ ลืมไปเลยว่าจะต้องทำอะไรในเวลาใด  อิอิ

ทดลองทำ

ลองพยายามหาหุ้นของบริษัทที่น่าสนใจ คือเมื่อคำนวณมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นนั้นแล้วสูงกว่าราคาปัจจุบัน  แล้วพิจารณาว่าควรซื้อหรือไม่  โดยดูว่ามีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัยเพียงพอหรือไม่ มีแนวโน้มที่ไม่เป็นขาลงไหม และควรจะแบ่งซื้อกี่ครั้ง ครั้งละเท่าไรในระยะเวลาห่างกันเท่าไร และวางแผนไว้ว่าหยุดซื้อเมื่อลักษณะราคาเป็นอย่างไร