วันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ทางใครก็ทางใคร


ผมเชื่อว่านักลงทุน (ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนจริงๆ หรือเก็งกำไร ก็ขอเรียกรวมๆ ก็แล้วกันนะครับ) หลายคนที่เมื่อเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ มีแนวทางที่แน่นอนว่าอยากเป็นนักลงทุนแนวใด แนวเก็งกำไรผลประกอบการ สายเทคนิค แนวพื้นฐาน หรือสายวีไอ หรือแม้แต่ผสมๆ กันบ้าง แต่อีกหลายส่วนเมื่อเข้ามาแล้วยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ซึ่งก็ไม่ถือว่าผิดอะไรถ้าเขาสามารถจำกัดความเสียหายของเงินลงทุน (เพื่อเรียนรู้) ได้ หรือยอมรับในความเสียหายในส่วนที่กันออกมาเสียหายนั้นได้ แต่หลังจากระยะเวลาหนึ่งผ่านไป เขาก็ควรจะ "รู้ทาง" ของตัวเองว่าทำอย่างไร แนวใด จึงได้กำไรมากกว่าขาดทุน
สำหรับนักลงทุนที่เป็นแนวเก็งกำไรรายวัน (หรือรายใดๆ ก็ตามถนัด) ก็เก็งกำไรไป ถ้าเป็นแนวพื้นฐาน ก็จงตั้งมั่นกับพื้นฐาน อย่านำมาปะปนกัน ไม่ใช่ว่าตอนแรกต้องการเก็งกำไร ซื้อเพราะหุ้นกำลังวิ่ง (ส่วนมากราคาเกินพื้นฐาน) แต่พอขายไม่ทัน ขาดทุนในพอร์ต กลับบอกว่าพื้นฐานบริษัทดี เก็บตัวแดงๆ ไว้ในพอร์ตเต็มไปหมด อย่างนี้ไม่ถูกเรื่อง

แนวการลงทุนที่อาจจะเรียกได้ว่าถูกดัดแปลงเพิ่มเติมจากแนวพื้นฐานปกติก็คือ การลงทุนแนวเน้นมูลค่า (Value Investment) หรือ VI โดยสิ่งสำคัญคือนักลงทุน VI สามารถคำนวณว่าราคาเหมาะสมของบริษัท (และต่อหุ้น โดยการนำเอาหุ้นทั้งหมดไปหาร) ออกมาได้ว่ามีค่า
  • เท่าไร
  • เมื่อใด กรอบเวลาไหน อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต เมื่อไร
  • มีเงื่อนไขอะไรบ้าง
  • คนอื่นเห็นเหมือนที่เราเห็นไหม
  • คนอื่นกลัวหรือกังวลอะไรไหม
จากนั้นวางแผนว่า จะซื้อ จะขาย อย่างไร (แน่นอนครับ ต้องมีแผนนะ ไม่ใช่หลับตาซื้ออย่างเดียวหรอก)
 
ส่วนถ้ารักจะเป็นนักเก็งกำไรระยะสั้น ก็อย่าถามพื้นฐาน ให้ดูราคา ดูการซื้อขาย การไหลของเงิน ถ้าผิดทาง ขายตัดขาดทุนไป ถ้าเอามาปนกัน จะขาดทุนมาก ทำให้ถูกจริตตน จึงมีโอกาสได้กำไร มากกว่าขาดทุน เซียนเก็งกำไร ก็จะดูราคาเป็นหลัก พื้นฐานเท่าไร อย่างไร กี่บาท เมื่อไร ไม่สนใจ แต่วางแผนแต่ว่า ขึ้นเท่าไรแบบไหนทำอย่างไร ลงแค่ไหนแบบไหนทำอย่างไร ไม่ใช่ว่า ตั้งใจเก็งกำไร พอขาดทุนในพอร์ตแล้วมาถามหาพื้นฐาน  หรือว่าตั้งใจซื้อเพราะพื้นฐาน แต่พอหุ้นแดงกลับตกใจคัทลอสแล้วปิดจอ เปิดมาอีกทีเด้งขึ้นไปไหนแล้วไม่รู้ แบบนี้เรียกว่า ทำครึ่งๆ กลางๆ โอกาสขาดทุนสูงมาก  พอได้กำไรกลับได้นิดเดียว

อีกอย่างผมเห็นเสมอกับการถามว่าพรุ่งนี้ ตัวนี้ ตัวนั้น จะขึ้น จะลงไหม ไม่มีใครรู้หรอกครับ ยกเว้นเจ้ามือ กับหมอดู ซึ่งก็เหมือนกับคำถามว่าราคาจะไปถึงไหน ก็ไม่มีใครทราบอีกเหมือนกันนั่นแหละ ยกเว้นคนที่มีทั้งหุ้นและเงินอยู่ในมือมากพอที่จะกำหนดทิศทางของราคาได้ แต่เมื่อทำไปแล้วเขาจะได้กำไรไหมนั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งส่วนมากแล้วเราคงไม่สามารถไปรู้ได้หรอกครับ

กับคำถามเรื่องราคาจะไปถึงไหนนั้น VI เก่งๆ เราไม่สนใจหรอกครับว่ามันจะไปไหน เพียงแต่รู้ว่าเราอมของ (ถือหุ้น) ที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของมันไว้ในมือ (จุดสำคัญตรงนี้คือเราต้องรู้ว่า “ค่า” ของมันเป็นอย่างไร อ่านวิชาที่สอง) แล้วก็หาทางลดความเสี่ยงลงให้มากที่สุด สุดท้ายจะได้กำไรเอง ส่วนราคาจะไปไหนไหม เราจะเฝ้าดูว่าเมื่อไรตลาดจะเห็นแบบที่เราเห็นล่วงหน้ามานานแล้วนั่นเอง

กับการลงทุนอื่นๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ ก็เหมือนกัน ก็เอาแนวคิดแบบ VI ไปใช้ได้เช่นกันครับ