ราคาหุ้นในระยะสั้น
ในระยะสั้นแล้วสภาพการณ์ของตลาดหรือราคาหุ้นต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้นถือว่าเปราะบางมาก เป็นเพราะว่าขนาดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเล็ก ปริมาณการซื้อขายน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นเช่นฮ่องกงหรือไต้หวัน การเคลื่อนย้ายเงินทุนของนักลงทุนนักลงทุนต่างประเทศ หรือแม้แต่รายย่อยที่เข้าซื้อขายหุ้นบางตัวเป็นการเฉพาะ (ภาษาเรียกกันขำๆ คือหุ้นเม่าเข้า - ซึ่งทำเป็นเล่นไปนะครับ คนที่แกล้งเรียกตัวเองว่าเม่าเนี่ยเห็นมาหลายรายแล้วเงินหนาแถมยังได้กำไรบ่อยก็มี) จึงทำให้มีผลต่อ ราคาหุ้นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาก การมีข่าวหรือเล็กน้อยก็ทำให้ราคาของหุ้นบางตัวเปลี่ยนไปมากทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วนักลงทุนก็ทราบได้ว่าในระยะยาวแล้วนั้นไม่ว่าข่าวลือจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตามก็ไม่ได้มีผลอะไรกับสภาพการทำงานของธุรกิจหรือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยทั่วไปนัก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเวลาหุ้นลงหุ้นก็ลงตามๆ กัน พอเวลาหุ้นขึ้น หุ้นก็ขึ้นพร้อมๆ กันเรียกว่าคนต่างช่วยกันซื้อขายในทางเดียวกัน จริงๆ แล้วดูไปก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านักลงทุนแต่ละกลุ่มใช้อะไรในการตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นกันแน่ บางกลุ่มก็ซื้อๆ ขายๆ เอาสนุกกันไปจนราคาป่วนไปหมดก็มี ราคาหุ้นในระยะสั้น (ระยะต่ำกว่า สองไตรมาส) จึงคาดการณ์แทบไม่ได้เลย
แล้วอะไรที่เราพอจะคาดการณ์ได้
ในระยะสั้นแล้วสภาพการณ์ของตลาดหรือราคาหุ้นต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้นถือว่าเปราะบางมาก เป็นเพราะว่าขนาดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเล็ก ปริมาณการซื้อขายน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นเช่นฮ่องกงหรือไต้หวัน การเคลื่อนย้ายเงินทุนของนักลงทุนนักลงทุนต่างประเทศ หรือแม้แต่รายย่อยที่เข้าซื้อขายหุ้นบางตัวเป็นการเฉพาะ (ภาษาเรียกกันขำๆ คือหุ้นเม่าเข้า - ซึ่งทำเป็นเล่นไปนะครับ คนที่แกล้งเรียกตัวเองว่าเม่าเนี่ยเห็นมาหลายรายแล้วเงินหนาแถมยังได้กำไรบ่อยก็มี) จึงทำให้มีผลต่อ ราคาหุ้นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาก การมีข่าวหรือเล็กน้อยก็ทำให้ราคาของหุ้นบางตัวเปลี่ยนไปมากทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วนักลงทุนก็ทราบได้ว่าในระยะยาวแล้วนั้นไม่ว่าข่าวลือจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตามก็ไม่ได้มีผลอะไรกับสภาพการทำงานของธุรกิจหรือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนโดยทั่วไปนัก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเวลาหุ้นลงหุ้นก็ลงตามๆ กัน พอเวลาหุ้นขึ้น หุ้นก็ขึ้นพร้อมๆ กันเรียกว่าคนต่างช่วยกันซื้อขายในทางเดียวกัน จริงๆ แล้วดูไปก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านักลงทุนแต่ละกลุ่มใช้อะไรในการตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นกันแน่ บางกลุ่มก็ซื้อๆ ขายๆ เอาสนุกกันไปจนราคาป่วนไปหมดก็มี ราคาหุ้นในระยะสั้น (ระยะต่ำกว่า สองไตรมาส) จึงคาดการณ์แทบไม่ได้เลย
แล้วอะไรที่เราพอจะคาดการณ์ได้
- ผลประกอบการของหลายบริษัท สามารถคาดการณ์ได้ ทำให้สามารถคำนวณรมูลค่าของบริษัทได้
- การเกิดวิกฤติต่างๆ คาดได้ว่าดัชนีโดยรวมมักตกต่ำลงมา แต่นั่นต้องเป็นกรอบเวลาที่กว้างขึ้น มีวิกฤติอยู่นานพอสมควรเช่น 1-2 ปี ถ้าวิกฤติเป็นข่าวระยะสั้นๆ ดัชนีมักสะเทือนบ้างแล้วขยับกลับที่เดิม
- เมื่อใกล้สิ้นสุดวิกฤติ ซึ่งเป็นเวลาที่ราคาหุ้นต่างๆ ตกต่ำลงไปมากแล้ว ก็มักเป็นเวลาที่ราคาหุ้นจะปรับกลับไป อาจจะถึงระดับปกติหรือไม่ก็ได้ (ส่วนมากจะไม่) ทั้งๆ ที่ผลประกอบการยังอาจจะแย่อยู่
- หุ้นหลาายบริษัทที่ปรับตัวลงไปอาจจะยังมีผลประกอบการที่ดีในช่วงวิกฤติด้วยซ้ำ อาจจะเป็นโอกาสที่ดีมากที่เราจะเลือกหุ้นดีๆ ผลตอบแทนสูง (ทั้งปันผลและกำไรจากส่วนต่างของราคา) เข้าพอร์ตได้ (ดูเรื่อง วิกฤติช่วยเลือกหุ้น ประกอบ)
- ในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นจะเป็นไปตามผลประกอบการเสมอ (อาจจะมีความคาดหวัง และความเชื่อเข้ามาปนบ้าง แต่มีอิทธิพลน้อยกว่า)
ทดลองทำ
ลองกลับไปดูการเปลี่ยนแปลงของดัชนี และราคาหุ้นของบริษัทที่เราสนใจในช่วงวิกฤติต่างๆ ทั้งต้มยำกุ้ง แฮมเบอร์เกอร์ โควิด-19 เน้นที่ก่อนเข้าวิกฤติและกำลังจะออกและออกจากวิกฤติมาแล้ว ว่าเปลี่ยนแปลงอย่างไร ประวัติศาสตร์มันมักจะซ้ำรอยเดิมเสมอ