วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560

ซื้อ ถือ ขาย อาวุธหลักของนักลงทุน


นักลงทุนหลายคนโดยเฉพาะที่เป็นมือใหม่เพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์มาไม่นาน เรียกว่ายังไม่สามารถรู้วิธีเอาตัวรอดได้ มักจะมีปัญหาคล้ายๆ กันก็คือการพยายามหาเหตุผลอธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งจุดนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้มีประสบการณ์ได้ให้ความเห็นเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า บุคคลที่จะมีความสุขการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ต้องเป็นคนที่ปรับตัวได้เร็วโดยที่ไม่ต้องการคำอธิบายหรือเหตุผลที่แจ่มชัดไปเสียทั้งหมด หรือเรียกว่ายอมรับในสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีเหตุผลได้ และต้องเป็นคนที่ไม่พยายามโทษคนอื่นหรือเหตุการณ์รอบตัวเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่คิด คนเหล่านี้จะมีวิธีการลงทุนที่คิดว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเอง ผลการตัดสินใจหรือการการทำทุกอย่างเป็นความรับผิดชอบของตัวเอง โดยไม่โวยวายหรือโทษสิ่งใดทั้งสิ้น เรียกว่าเมื่อหุ้นขึ้นก็ไม่นั่งงงอยู่ว่าเพราะอะไร หรือหุ้นลงก็ไม่โวยวายว่าใครทำราคาลงเป็นต้น

เพราะถ้าเรามองราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เราจะเห็นความผันผวนอยู่ตลอดเวลา นักลงทุนหรือนักเก็งกำไร ก็เห็นหุ้นที่มีราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลง (ไม่ว่าจะสมเหตุสมผลหรือไม่ก็ตาม) อยู่ทุกวี่วัน เมื่อหุ้นราคาขยับขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าอยู่เฉยๆ เอาแต่โวยวายก็เสียโอกาส (โดยเฉพาะกับหุ้นของบริษัท/กิจการที่เราได้วิเคราะห์แล้วว่ามูลค่าสูงกว่าราคาปัจจุบันอยู่มาก หรือเรียกว่าหุ้นมีราคาถูก) แล้วก็มานั่งงงว่าหุ้นขึ้นไปทำไม (นั่งบ่นก็เพราะไม่ได้ซื้อล่ะสิ มัวแต่รอของ ถูกมากถึงมากที่สุด ก็ในเมื่อคุณเห็นได้ คนอื่นก็อาจจะเพิ่งมาเห็นได้เหมือนกัน) ในทางตรงกันข้ามเมื่อหุ้นราคาตกลงมาแล้วหลายคนซื้อมาราคาแพงมากแล้วติดยอดดอย (กรณีนี้โชคดีที่มักไม่เกิดกับนักลงทุนแนวเน้นมูลค่าหรือ VI เท่าไรนัก) แล้วก็มานั่งบ่นว่าเอ๊ะใครทุบราคาหุ้น บางทีแย่กว่านั้นก็มีความพยายามที่จะไปตามดูว่าใครกันแน่เป็นคนทุบจะได้โทษได้ถูกคน (แล้วมันจะหาเจอไหม จะไปโทษทำไม ของแพงเกินไปมันก็ต้องปรับตัวลงมาบ้างเป็นธรรมดา) ดูแล้วหลายคนอาจจะว่าเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับนักลงทุนที่เป็นมืออาชีพจริงๆ แล้วเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเสียเวลา ไร้สาระ และตลกด้วยซ้ำไป

แทนที่เราจะหวังพึ่งคนอื่นหรือนั่งเวียนหัวกับการที่หุ้นขึ้นหรือลงแล้วจะหวังให้ใครสักคนมาคอยติดตามดูแลราคาให้เราดูเป็นเรื่องที่ไกลตัวและจะไปหวังพึ่งใครได้ นักลงทุนที่แท้จริงต้องหวังพึ่งตัวเองโดยใช้อาวุธสามอย่างที่เรามีอยู่ก็คือการ ซื้อ ถือ หรือ ขาย นั่นเอง

ซื้อ ถือ ขาย สามอาวุธสำคัญก็พอแล้ว

เมื่อเราสนใจหุ้นบางตัวที่คิดคำนวณดูแล้วว่าราคาในตลาดนั้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก (เรียกว่า หุ้นถูก) สิ่งที่เราควรทำก็คือการหาจังหวะซื้อเข้ามาบ้าง แล้ว จัดการต้นทุนให้ต่ำที่สุด (อ่าน วิชาที่สามวิชาควบคุมต้นทุน) ไม่ใช่ไปนั่งรอให้หุ้นลดราคาลงมาอีกแบบนี้เท่ากับเป็นการเสียโอกาส ในขณะที่ถ้าเราคิดว่าเราซื้อหุ้นมาแล้วราคาตกลงไปนิดหน่อยแต่มันถูกมากแล้ว เราอาจจะอยู่เฉยๆ คือใช้อาวุธที่เรียกว่า ถือ เอาไว้ก็ได้ เมื่อราคาตกลงไปจนถึงราคาที่ถูกมากจริงๆ ถ้าเรามีความมั่นใจมากในกิจการนั้นก็อาจจะไปซื้อเพิ่มมาก็ได้อีก ในทางตรงกันข้ามถ้าซื้อแล้วปรับราคาขึ้นไปเรื่อยแต่ยังไม่เกินมูลค่า (ยังไม่ แพง เกินพื้นฐาน) เราก็ยังสามารถใช้อาวุธตัวเดิมนี้คือถือหุ้นเอาไว้ แล้วรอให้หุ้นขึ้นไปเรื่อยๆ มาจนถึงจุดหนึ่งที่เราคิดว่าราคาแพงมากเราก็อาจจะใช้อาวุธอีกตัวคือ ขาย ออกบ้างหรือขายเพื่อเก็บทุนกลับมา ถ้าเราขายหุ้นไปในจำนวนที่มากพอเพื่อจะได้ทุนกลับมาทั้งหมดนั่นคือการกำจัดความเสี่ยงไปทั้งหมด หรือพูดง่ายง่ายก็คือเราจะไม่ขาดทุนกับหุ้นนั้นแน่ๆ

อาวุธ ขาย ใช้รักษาทุนไว้ได้

ในโลกของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์นั้นมีความเสี่ยงอยู่เสมอ ไม่ว่าเราจะคำนวนมูลค่าต่างๆ ไว้ได้เท่าไร แต่เราไม่สามารถควบคุมราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงในตลาดได้เลย ดังนั้นเราก็ต้องถือเครื่องมืออีกหนึ่งอย่างเก็บไว้เป็นสำคัญก็คือการขาย กรณีนี้ก็คือการ ขายตัดขาดทุน (อ่าน วิชาแรกวิชาคัทลอส) หมายความว่าเรา ตัดไม่ให้ขาดทุนมากไปกว่านี้ นั่นเอง

ดังนั้นนักลงทุนทุกท่านควรจำให้ขึ้นใจเอาไว้ว่าเมื่อใดก็ตามที่เกิดความผันผวนในราคาหุ้นที่เราถืออยู่ เราเท่านั้นที่เป็นคนถืออาวุธสำคัญสามอย่างคือการ ซื้อ ถือ หรือ ขาย หุ้นนั้นออกไป อาวุธสามอย่างนี้ก็พอเพียงแล้วในการเอาตัวรอดและประสบความสำเร็จในการลงทุน อย่ามัวโวยวายว่าทำไมหุ้นถึงขึ้น ทำไมหุ้นถึงลง ใครเป็นคนทำ มันเป็นสิ่งที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นความลับของโลก บางทีเราก็ไม่มีทางรู้ได้หรือแม้จะรู้ก็สายไปเสียแล้ว ดังนั้น จงถืออาวุธไว้ให้มั่นแล้วใช้ให้เต็มที่ในการเอาตัวรอดจากตลาดหลักทรัพย์ครับ