หลุมที่รออยู่สำหรับนักลงทุน VI
ด้วยความที่นักลงทุนแบบ VI ลงทุนด้วยการคำนวณมูลค่าของกิจการก่อนการลงทุน บางครั้งเราต้องรอเป็นเวลานาน นานมาก หรือนานเกินไปกว่าผู้อื่นจะเห็นค่าในสิ่งที่เราได้คำนวณเอาไว้ ที่แย่ไปกว่านั้นคือมีความเป็นไปได้ที่เราจะคำนวณผิด! คือคาดการณ์สิ่งต่างๆ ผิดไป ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวต่ำลงไปมากเป็นเวลานาน (หลายๆ ครั้งก็ช่างนานเกินไปอีก) ในขณะที่เราเองก็ทนถือ ทนดูหุ้นปรับราคาลดลงๆ ไปเรื่อยๆ เพราะความที่มั่นใจว่าเราวิเคราะห์ดีแล้ว ทำให้เราขาดโอกาสในการลงทุนอื่น หรือแม้แต่โอกาสในการลงทุนหุ้นของบริษัทนั้นเองด้วยเงินจำนวนเดียวกันแต่สามารถซื้อหุ้นได้มากขึ้น
ลองซื้อหุ้นแพงกัน
หุ้นแพงในที่นี้ไม่ได้หมายถึงหุ้นราคา 500 หรือ 1,000 บาท แต่อาจจะเป็นหุ้นราคา 2 บาทก็ได้แต่อาจจะเป็นบริษัทที่ยังไม่มีกำไร หรือ กำไรน้อยมากจนทำให้คำนวณ P/E ได้ประมาณ 50-100 (ปี อย่าลืมว่า P/E มีหน่วยเป็นปี) คือลงทุนกัน 50-100 ปีนั่นแหละถึงจะคุ้มทุน หลายครั้งเป็นที่น่าแปลกใจและน่าสนใจพร้อมๆ กันจนแม้แต่นักลงทุนแนว VI ยังต้องเข้าไปดูว่าทำไมถึงได้รับความนิยมในการซื้อขายนัก ซึ่งหลายบริษัทก็น่าสนใจจริงๆ นั่นแหละเพราะอาจจะถูกคาดหมายว่ากำไรจะฟื้นตัวกลับทำกำไรได้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราสนใจอยากลองทำกันในตอนนี้
แล้วทำไมชวนให้ซื้อหุ้นแพง
นักลงทุนที่ตามอ่านอย่าเพิ่งสับสนว่า แล้วอยู่ดีๆ ทำไมชวนให้ซื้อหุ้นแพงซะอย่างนั้น คือโดยทั่วไป (เน้นว่าโดยทั่วไปนะครับ) ถ้าเราไม่ได้มีข้อมูลอันค่อนข้างแน่นอนและมั่นใจได้ นักลงทุนแนว VI จะมองว่าการซื้อหุ้นแพงนั้นเป็นการเก็งกำไรมากกว่าการลงทุน และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทนถือหุ้นแพงๆ เลยถ้ามันขาดทุนอยู่ในพอร์ต ในการชวนให้ลองซื้อหุ้นแพงนี้เราจะไม่วิเคราะห์พื้นฐาน เรียกว่าดูแต่ราคา แนวโน้ม การซื้อขายต่างๆ เท่านั้น โดยพยายามซื้อหุ้นที่กำลังมีราคาสูงขึ้นๆ เป็นหลัก ซึ่งย่อมมีทั้งการที่เรา เดาถูก และเดาผิด (ตรงนี้ ใช้คำว่าเดา หรือ ดู ก็ได้นะครับ พอกันนั่นแหละ)
คัทลอส
บทเรียนแรกๆ ของการลงทุนคือการคัทลอสที่เรามักจะทำกันไม่ได้นี่แหละครับ คือเหตุผลที่แนะนำให้ซื้อหุ้นแพง เพราะอย่างที่บอกว่าในเมื่อเราก็ไม่ได้วิเคราะห์อะไร ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะถือหุ้น P/E ระดับ 50-100 เป็นเวลานานๆ เรารู้อยู่แล้วว่าถ้าหุ้นไม่ขึ้นมันก็ลง แล้วมันก็สามารถลงไปได้มาก (หุ้นเหล่านี้ก็มักไม่จ่ายปันผลอีก) และเมื่อลงไปแล้วก็ไม่รู้ได้อีกว่าเมื่อไรมันจะกลับขึ้นมา ดังนั้นถ้าเราเกิดขาดทุนขึ้นมา (ลองจำกัดไว้ที่ 1-3%) ก็ไม่ต้องคิดเลย "ขายตัดขาดทุน" ออกไปก่อน
มันคือการฝึกนิสัย
เพื่อนนักลงทุนคงคิดในใจว่า อยู่ดีๆ มาชวนให้เสียเงินซะแล้ว ใช่ครับและใช่มากด้วยแต่เป็นการ เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย ไงครับ เราฝึกตัวเองให้เสียหายเล็กๆ น้อยๆ ในวันนี้ (อาจจะ 100 - 1,000 บาท) ย่อมดีกว่าวันหน้าเราเสียหายนับแสนหรือล้านบาท โดยในการซื้อเพื่อทดลองนี้ก็อย่าซื้อมาก คำนวณให้ได้ว่าถ้าขาดทุน 1-3% ที่ว่าจะเป็นเงินไม่มากนัก การหัดทำเช่นนี้เป็นการ ฝึกนิสัย ว่าเมื่อเราซื้อหุ้นที่กำลังปรับตัวลงเราต้องขายตัดขาดทุนออกไปก่อนเสมอ และยิ่งถ้าเราเห็นว่าหลังจากที่เราขายตัดขาดทุนออกไปแล้ว หุ้นปรับตัวต่ำลงไปเรื่อยๆ เราจะยิ่งดีใจว่าเราตัดสินใจถูก นิสัยการขายตัดขาดทุนจะยิ่งฝังลงไปในใจเรามากขึ้น แต่ในทางกลับกัน ถ้าหุ้นปรับตัวขึ้น เราจะลองซื้อกลับดูก็ได้ ก็เป็นการฝึกนิสัยการกัดจิก เอ๊ย! การตามเก็บหุ้นนั้นได้ด้วย (นิสัยทั้งสองนี้สำคัญเท่าๆ กัน แต่ไว้คุยกันในตอนหน้าครับ)
สรุป
สิ่งหนึ่งที่เป็นอุปสรรคในการขายตัดขาดทุนสำหรับนักลงทุนแบบเน้นมูลค่าของกิจการหรือ VI คือเรามั่นใจในสิ่งที่เราวิเคราะห์มา ซึ่งหลายครั้งไม่ได้ผิด แต่ถ้าเราขายตัดขาดทุนเป็นจะทำให้เรามีโอกาสมากขึ้นในการได้หุ้นที่ต้นทุนต่ำลง รวมถึงการจำกัดความเสียหายเมื่อเราคาดการณ์หรือคำนวณผิดด้วย วิธีหนึ่งในการฝึกนิสัยนี้คือ ทดลองซื้อหุ้นที่เรารู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะถือถ้าหากขาดทุน และเห็นว่าการตัดสินใจนั้นถูกต้องบ่อยๆ เราจะได้นิสัยที่ดีนี้ติดตัวต่อไป
ทดลองทำ
ลองหาหุ้นของบริษัทที่มีปริมาณการซื้อขายพอสมควร (เช่นวันละ 5 ล้านบาทขึ้นไป) และมี P/E 50-100 ที่มีแนวโน้มว่าราคาน่าจะกำลังเพิ่มสูงขึ้น โดยไม่วิเคราะห์พื้นฐานใดๆ (นอกจากแนวโน้มราคา) โดยทดลองซื้อในปริมาณน้อยๆ (เช่น 5000 - 10,000 บาท) และตั้งจุดขายตัดขาดทุนไว้ที่ 1-3% ซึ่งเป็นเงินราว 50-300 บาท (หรืออาจจะลองด้วยเงินน้อยกว่านั้นก็ไม่ว่ากันนะครับ) ถ้าได้กำไรสัก 3-5% ก็ลองขายออกทำกำไรไป (ห้ามโลภซื้อมากเพื่อหวังได้กำไรมากเพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการทำกันตอนนี้) แต่ถ้าขาดทุนก็ให้ขายตัดขาดทุนออกไปเลยเพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะถือหุ้นที่แพงมากๆ และมีโอกาสปรับตัวลงได้มากๆ เอาไว้ ฝึกการขายตัดขาดทุนจำนวนเงินน้อยๆ ให้เป็นนิสัย เงินที่เสียไปถือเป็นค่าเล่าเรียนเพื่อรักษาเงินที่มากกว่าไว้ในอนาคต